"ชลน่าน" แจงซูเปอร์บอร์ดสุขภาพ ไม่ได้ลดอำนาจ สธ. คีย์แมนยังอยู่ที่ปลัด สธ.และเลขาธิการ สปสช. โต้เพื่อไทยครอบงำระบบ แจง ปชช.มอบอำนาจให้มาทำหน้าที่ ขอให้วัดที่ผลงาน หากทำดีเกิดประโยชน์ควรครอบงำต่อ หากไม่ดีประชาชนมีสิทธิไล่ ส่วนปมปัญหาถ่ายโอนต้องใช้ใบส่งตัว ก็ต้องแก้ไข ประชาชนต้องไม่รับผลกระทบบริการ
เมื่อวันที่ 11 ต.ค. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) มองคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ เป็นการลดอำนาจ สธ. ว่า แล้วแต่คนมอง เราเองมีปลัด สธ.เป็นผู้ช่วยเลขานุการ มีเลขาธิการ สปสช.เป็นผู้ช่วยเลขานุการร่วม ซึ่งคีย์แมนอยู่ที่เราสองคน นอกนั้นเป็นตัวแทนวิชาชีพ ทั้งรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ภาพบอร์ดชุดนี้สำนักงานเลขาธิการอยู่ที่ สธ.
เมื่อถามถึงกรณีมีคนตั้งข้อสังเกต การเมืองจะครอบงำบอร์ดหรือไม่ เพราะรายชื่อพรรคเพื่อไทยอยู่ในสัดส่วนตำแหน่งสูง นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การตั้งข้อสังเกตเป็นสิทธิของแต่ละคน เช่น พรรคเพื่อไทยมาครอบงำบอร์ด ตนก็มาจากพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมเสียงข้างมากในสภาฯ มาเป็นรัฐบาล 314 เสียง แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จัดตั้งรัฐมนตรีมาบริหารประเทศในนามคณะรัฐมนตรี โดยรูปแบบพรรคเพื่อไทยรับมอบอำนาจจากประชาชนมาทำหน้าที่นี้
“ขีดเส้นใต้ว่า ได้รับมอบอำนาจจากประชาชนมาทำหน้าที่นี้ เพราะฉะนั้น จะมองว่าป็นการครอบงำในมุมมองของผู้คิดเห็นอย่างนั้นก็แล้วแต่มุมมอง เป็นหน้าที่จากประชาชนให้มาทำ ดังนั้น คณะกรรมการฯ ก็ต้องทำหน้าที่ตามนั้นให้ดีที่สุด เอาผลงานเป็นตัวตั้ง หากสามารถเอาทุกกระทรวงเข้ามาทำงานร่วมประสานหนึ่งเดียวกัน ตอบปัญหาที่เกิดขณะนี้ได้ การครอบงำควรครอบงำตลอดไปด้วย ในมุมผมนะ ถ้าเกิดประโยชน์ เว้นไม่เกิดประโยชน์หรือทำไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิทำด้วยซ้ำ ประชาชนควรไล่ออกไป” นพ.ชลน่าน กล่าว
ถามอีกว่า การตั้งบอร์ดนี้เป็นการเร่งรัดให้เกิดขึ้นเร็วเกินไปหรือไม่ เพราะเคยมีการคัดค้านตั้งแต่สมัยนพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ เคยเป็นรมว.สธ. นพ.ชลน่านกล่าวว่า รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา กำหนดไทม์ไลน์ชัดเจน 4 ปี เราประกาศควิกวิน 100 วัน จะรอ 100 วันแล้วไปตั้งบอร์ดหรืออย่างไร ซึ่งการเชื่อมโยงการทำงานจะเกิดขึ้นไม่ได้ ควิกวิน 100 วันเกิดไม่ได้ เราจึงต้องมีไทม์ไลน์ชัดเจน เราเอาเป้าหมาย ไทม์ไลน์ที่กำหนดเป็นหลัก จริงๆ นายกฯ ลงนามเมื่อวันที่ 3 ต.ค. แต่ตนเสนอเรื่องไปตั้งแต่ 18 ก.ย. ยังมองว่าช้า แต่ด้วยรายละเอียดจำเป็นต้องไปดูเรื่องหน้าที่และอำนาจกรรมการ
"ส่วนที่มีข้อสงสัยว่า ทำไมบางท่านไม่มีชื่อในกรรมการ ต้องบอกว่า กรรมการชุดนี้เสมือนการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย ที่สนับสนุนฝ่ายปฏิบัติ เรามีฝ่ายนโยบาย คือ ครม. ฝ่ายปฏิบัติ คือ ปลัด ข้าราชการประจำ ฝ่ายปฏิบัติก็มีหลายกระทรวง มีความแตกต่างลักลั่นกันอย่างในแง่การให้บริการ เห็นจากวิกฤตโควิดตอนนั้นไม่รู้หน้าที่ใคร ก็กระทบประชาชนนอนเสียชีวิตข้างถนนก็มี จึงต้องอุดช่องว่างนี้ ให้มีคณะทำงานชุดหนึ่งที่เป็นเอกภาพ ที่ผ่านมาปลัดแต่ละท่านหันมาคุยกันค่อนข้างยาก โควิดทำให้หันหน้ามามองกัน เพราะสถานการณ์บังคับ แต่ถ้าไม่มีกฎหมายรองรับ ข้าราชการฝ่ายประจำก็ทำยาก เสี่ยงผิดพลาดได้ จึงต้องมีองค์กรที่มีระเบียบบริหารราชการแผ่นดินมารองรับ” รมว.สธ.กล่าว
เมื่อถามว่าจะสร้างสมดุลอย่างไรให้เกิดขึ้นในบอร์ดนี้ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแถลงนโยบายรัฐสภา เป็นไปตามนโยบายที่กระทรวงต่างๆ เขียนออกมารองรับ อย่าง สธ.เรารับนโยบายมาแล้วก็มาทำนโยบายรองรับ เข็มมุ่งชัดทำตามนโยบาย ถ้าทำนอกเหนือแถลงนโยบายรัฐสภา นอกเหนือนโยบายกระทรวง แล้วเกิดผลเสียกับประชาชน ส่อไปในทางแสวงหาประโยชน์ ต้องผ่านการตรวจสอบ สภาไม่เว้นแน่ มีมูลก็สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้
ถามว่ามีภาคประชาชนเสนอให้การประชุมนัดแรกวันที่ 24 ต.ค. เสนอหาทางแก้ไขถ่ายโอน รพ.สต.ไปท้องถิ่น เนื่องจาก รพ.สต.บางแห่งไม่พร้อม ทำให้คนไข้ต้องไปรักษารพ.ชุมชน และต้องใช้ใบส่งตัว ที่อาจไม่สอดรับกับนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า นี่คือปัญหาแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจริง ตนตั้งใจต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ โดยอยู่บนพื้นฐานว่า ขณะที่มีการถ่ายโอนต้องยึดเงื่อนไขความสมัครใจ ความพร้อม และต้องยึดประชาชนในพื้นที่เป็นศูนย์กลางการให้บริการ เขาต้องไม่รับผลกระทบ การถ่ายโอนที่ทำให้เครื่องไม้เครื่องมือขาด ต้องไม่เกิดขึ้น ต้องทำให้ดี ส่วนการบริหารจัดการ กลไกจัดการตำแหน่ง เป็นเรื่องการบริหาร ซึ่งต้องไม่เกี่ยวกับการบริการ ส่วนเรื่องต้องใช้ใบส่งตัวก็ต้องแก้ปัญหา โดยข้อมูลจะต้องมีการเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าสังกัดหน่วยงานไหน การให้บริการประชาชนจะต้องเป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาล