กรมการแพทย์จ่อชง สธ.พิจารณาใช้ "ฟาวิพิราเวียร์" ใช้รักษา "ไข้หวัดใหญ่" เพิ่มเติมจากยาโอเซลทามิเวียร์ ผลักเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ด้าน อภ.เผยเร่งผลิตยาโอเซลฯ เพิ่มทั้ง 3 ขนาด สำหรับเด็กและผู้ใหญ่จัดส่งได้ทั้งหมดไม่เกิน ต.ค.นี้
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ด้วยยาโอเซลทามิเวียร์และยาฟาวิพิราเวียร์ ว่า ยาทั้งสองชนิดสามารถนำมารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ได้ โดยได้มีการประชุมผู้เชี่ยวชาญฝ่ายวิชาการของกรมการแพทย์เมื่อวันที่ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา มีการพิจารณาถึงแนวทางการรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยฟาวิพิราเวียร์ นอกเหนือจากโอเซลทามิเวียร์ ซึ่งจะมีการเสนอเข้าสู่คณะกรรมการวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ก่อนออกเป็นประกาศแนวทางการรักษาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
“จริงๆ แพทย์ทราบอยู่แล้วว่า ยาฟาวิพิราเวียร์สามารถนำมารักษาไข้หวัดใหญ่ได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้มีการระบาดของโรคโควิด 19 จึงมีการนำยาฟาวิฯ มารักษา ทำให้คนเข้าใจว่าคนละโรค แต่จริงๆ รักษาได้ โอเซลทามิเวียร์ก็เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมายาโอเซลทามิเวียร์อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติอยู่แล้ว เหลือแต่ฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ฟาวิฯ รักษาฟรี เพราะเอามาใช้โควิด19 แต่เมื่อโรคโควิดไม่ใช่โรคติดต่ออันตรายแล้ว จากนี้ก็จะต้องมีการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อผลักดันเข้าสู่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติต่อไป” อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่า สถานการณ์ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -16 ก.ย. 2566 มีรายงานผู้ป่วย 185,216 ราย อัตราป่วย 279.90 ต่อประชากรแสนคน เสียชีวิต 4 รายใน จ.นครราชสีมา 2 ราย สงขลาและตาก จังหวัดละ 1 ราย อัตราป่วยตาย 0.002 สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A/H1N1 และ A/H3N2 สัปดาห์นี้รายงานผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตัวเลขการระบาดจะใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนจะมีการระบาดของโรคโควิด เพราะไทยเผชิญโควิดตั้งแต่ต้นปี 2563 ช่วงนั้นเรามีมาตรการป้องกันต่างๆ สวมหน้ากากอนามัยทำให้ได้ประโยชน์ในการป้องกันโรคทางเดินหายใจ แต่ด้วยปัจจุบันสถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย ทั่วโลกเดินทางกันมาก แต่หากพิจารณาตัวเลขการระบาดก่อนโควิดกับปีนี้ ถือว่าการระบาด ใกล้เคียงกับปีก่อนโควิด ดังนั้น โรคไข้หวัดใหญ่แม้จะพบมากแต่ไม่ถือว่ารุนแรงเกินจัดการ
ด้าน พญ.มิ่งขวัญ สุพรรณพงศ์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา อภ. ได้จัดส่งยาโอเซลทามิเวียร์ ไปตามสต๊อกที่สั่งเข้ามาหมดแล้วตั้งแต่ ส.ค.ที่ผ่านมา แต่มีสต๊อกที่ต้องผลิตเพิ่มอีก เนื่องจากความต้องการมีเพิ่มขึ้น ขณะนี้กำลังเร่งผลิตจากวัตถุดิบที่มีอยู่ในการผลิตยาโอเซลทามิเวียร์ โดยมีวัตถุดิบประมาณ 2,800 กิโลกรัม สามารถผลิตออกเป็นยาโอเซลฯ ประมาณ 26 ล้านเม็ด ใช้ได้ประมาณ 2.6 ล้านคน โดยผลิต 3 ขนาด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเด็กเล็กขนาด 30 มิลลิกรัม เด็กโตขนาด 45 มิลลิกรัม หากผู้ใหญ่ 75 มิลลิกรัม ทั้งนี้ ยาโอเซลทามิเวียร์สำหรับเด็กเล็ก 30 มิลลิกรัมจะจัดส่งได้หมดในวันที่ 4 ต.ค. ส่วนขนาด 45 มิลลิกรัมจะส่งได้ช้าสุดวันที่ 9 ต.ค. ขณะที่ยาสำหรับผู้ใหญ่ก็จะทยอยจัดส่งได้ไม่เกิน ต.ค.เช่นกัน ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์มีอยู่ 1.6 ล้านเม็ด รักษาได้ประมาณ 3 หมื่นกว่าราย และยังมีวัตถุดิบผลิตได้อีกประมาณ 8 แสนเม็ด จริงๆ ยาฟาวิฯยังไม่ครอบคลุมในบัญชียาหลักฯ ซึ่ง อภ.ได้ทำหนังสือเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ บัญชียาหลัก พิจารณาขอให้ยาตัวนี้เข้าสู่รายการในบัญชียาหลักด้วย