xs
xsm
sm
md
lg

ไทยตายจาก "โรคหัวใจ" 7 หมื่นราย แนวโน้มเพิ่มขึ้น แนะตรวจสุขภาพประจำปีช่วยป้องกันระยะยาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมควบคุมโรค เผยไทยเสียชีวิตจาก "โรคหัวใจ" ถึง 7 หมื่นราย แนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ชี้เบาหวาน-ความดันสุดเสี่ยงเกิดเป็นโรคแทรกซ้อน ย้ำปรับพฤติกรรมช่วยป้องกัน แนะตรวจสุขภาพประจำปีช่วยป้องกันและติดตามในระยะยาว

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันที่ 29 ก.ย.ของทุกปี เป็นวันหัวใจโลก (World Heart Day) ปี 2566 มุ่งเน้นให้ประชาชนรับรู้ความสำคัญในการดูแลป้องกันโรคหัวใจ เพราะเมื่อเรารู้มากขึ้นก็สามารถดูแลหัวใจได้ดีขึ้น ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก ทั่วโลกเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองมากกว่า 20 ล้านคน โดย 80% ของการเสียชีวิตสามารถป้องกันได้ สำหรับประเทศไทยปี 2565 พบการเสียชีวิตของโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 7 หมื่นราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี สาเหตุเกิดจากหลอดเลือดไปเลี้ยงที่หัวใจตีบตัน ขาดความยืดหยุ่น จากการสะสมของไขมัน โปรตีน และการอักเสบที่บริเวณผนังด้านในของหลอดเลือด ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด คือ อายุ เพศ ประวัติครอบครัว ระดับความดันโลหิต น้ำตาล และไขมันในเลือดที่สูง ภาวะอ้วนและน้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ และดื่มสุรา โดยมักเป็นโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อผู้ป่วยเครียดหรือไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลหรือความดันโลหิตได้ ตามเป้าหมายการรักษาของแพทย์

นพ.ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญ คอยสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง หากเกิดความผิดปกติ หัวใจก็จะทำงานหนักขึ้นจนอาจเกิดภาวะหัวใจวายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากหลอดเลือดหัวใจตีบตันส่งผลให้หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงทำให้หัวใจทำงานแย่ลงหรือหยุดทำงานและเสียชีวิตได้ โรคหัวใจและหลอดเลือดมักมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก จุกแน่นกลางอก อาจมีเจ็บร้าวไปที่แขน ใจสั่น เหงื่อแตก อาการเจ็บจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมักจะเริ่มมีอาการตั้งแต่หลอดเลือดหัวใจเริ่มตีบ ควรรีบพบแพทย์ทันทีหากปล่อยทิ้งไว้จนหลอดเลือดหัวใจตันจนหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงจะทำให้หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตได้ หากประชาชนมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด และสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่บ้านคนเดียวหรือญาติไม่สามารถพาไป รพ.ได้ เช่น ไม่มีรถ สามารถโทรขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 เพราะถ้าหัวใจขาดเลือดจนหัวใจหยุดทำงาน จะทำให้หมดสติ ควรรีบทำการกดหน้าอกผู้ป่วย ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ AED และโทรเรียกรถพยาบาลทันที

"โรคหัวใจฯ ป้องกันได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยหลัก 3อ. 2ส. ดังนี้ กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมอารมณ์ ความเครียด ไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่มสุรา นอกจากนี้ มลพิษทางอากาศยังเป็นปัจจัยด้วย ข้อมูลจาก WHO ระบุว่า ทุกๆ ปี ประมาณ 7 ล้านคน หรือ 25% ของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจฯ มีสาเหตุมาจากมลพิษทางอากาศ จึงขอแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่มีฝุ่น PM 2.5 หากเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงต้องสวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่น ช่วยกันลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 เช่น เผาขยะ จุดธูป หมั่นเช็กสภาพรถเพื่อลดควันดำ" นพ.ดิเรกกล่าว

นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผอ.กองโรคไม่ติดต่อ กล่าวว่า การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่ช่วยป้องกันหรือรักษาติดตามการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดีในระยะยาว ประชาชนกลุ่มวัยทำงานอายุระหว่าง 25-59 ปี สามารถตรวจคัดกรองปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ตรวจวัดความดันโลหิต และตรวจเลือดคัดกรองโรคเบาหวาน ได้จากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือประกันสังคมตามสิทธิการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหากได้รับการวินิจฉัยเป็นความดันโลหิตสูงหรือเบาหวานแล้วและควรนัดหมายเข้ารับบริการ ตรวจติดตามและรับยาอย่างต่อเนื่อง ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด และความดันโลหิตให้อยู่ในค่าปกติ


กำลังโหลดความคิดเห็น