xs
xsm
sm
md
lg

กสศ. MOU ครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่น 5 สร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงลดเหลื่อมล้ำในพื้นที่ห่างไกล เตรียมบรรจุ 1,500 โรงเรียนทั่วประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



วันนี้ (27 ก.ย.) รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย.66 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ลงนามความร่วมมือกับ 8 สถาบันผลิตและพัฒนาครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 5 ปี การศึกษา 2567 โดยมีมหาวิทยาลัยภัฏอุตรดิตถ์ , มหาวิทยาลัยขอนแก่น , มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต , มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี , มหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ , มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง , มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ร่วมลงนาม ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
       
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในโรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศ มีโรงเรียน 29,466 แห่ง ดูแลนักเรียน 6,607,564 คน มีจำนวนครูในภาพรวม 467,115 คน คิดเป็นอัตราเฉลี่ยครูต่อห้องเรียนอยู่ที่ 1.38 คนต่อห้อง ในจำนวนดังกล่าวมีกลุ่มโรงเรียนที่เรียกว่า Protected Schools ซึ่งไม่สามารถควบรวมได้ เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารเช่นบนเขาหรือในเกาะแก่ง จำนวน 1,155 แห่ง มีนักเรียน 90,348 คน มีจำนวนครู 9,484 คน คิดเป็นอัตราเฉลี่ยครูต่อห้องเรียนอยู่ที่ 0.95 คนต่อห้อง ทำให้เกิดปัญหาครูไม่ครบชั้นหรือไม่ครบรายวิชา

เพื่อแก้โจทย์ปัญหาข้างต้น กสศ. ได้ร่วมกับ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วยกระทรวงศึกษาธิการ , กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม , สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน , สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ขับเคลื่อนโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งปีการศึกษา 2567 จะเป็นปีแรกที่มีบัณฑิตครูรัก(ษ์)ถิ่น กลับไปเป็นครูในชุมชนของตนเอง

“โรงเรียนเหล่านั้นถือว่าเป็นความหวังเดียวของคนนับร้อยนับพันชีวิตในพื้นที่ ขณะที่ในทางกลับกัน โรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็กที่ห่างไกลเหล่านี้ต้องประสบกับปัญหาครูโยกย้ายบ่อย เนื่องจากครูที่ได้รับการบรรจุไม่ใช่คนในพื้นที่ ดังนั้น เมื่ออยู่ครบเกณฑ์ 2 ปี จึงมักทำเรื่องขอย้ายกลับไปยังภูมิลำเนาของตน ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้เอง ที่ กสศ. และหน่วยงานต้นสังกัดการศึกษา คัดเลือกให้เป็นโรงเรียนปลายทางของนักศึกษาครูรัก(ษ์)ถิ่น เพราะปัญหาขาดแคลนครูเป็นเรื่องเร่งด่วน และจะปล่อยให้ดำเนินต่อไปอีกไม่ได้”

ด้าน รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการบริหาร กสศ. และประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล กล่าวว่า โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นมี แนวคิดสร้างครูของชุมชน เพื่อสร้างโอกาสให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ผ่านการสร้างครูรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงให้กลับไปพัฒนาชุมชนของตนเอง ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาของการดำเนินงาน มีหลักฐานยืนยันว่าการผลิตและพัฒนาครูในระบบปิด สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาในระดับพื้นที่ได้ด้วยหลักสูตรการเรียนการสอนเฉพาะ ครูรัก(ษ์)ถิ่นเป็นโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการขนาดใหญ่ มีการติดตามต่อเนื่องหลังบรรจุเป็นเวลาอย่างน้อยรุ่นละ 6 ปี

ดังนั้น ผลการศึกษาวิจัยที่จะได้จากสถาบันผลิตและพัฒนาครู จะเป็นคานงัดสำคัญที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบผลิตและพัฒนาครูเพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาด้านการศึกษาของประเทศ แม้ว่าการลงทุนในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นจะใช้ต้นทุนสูง แต่ถ้ามองถึงปลายทางว่าประเทศผลิตครูหนึ่งคนที่มีคุณภาพ และมีคุณสมบัติเฉพาะที่จะกลับไปพัฒนาชุมชนห่างไกล 1,500 แห่งทั่วประเทศ นับว่าคุ้มค่า เพราะจะมีนักเรียนและคนในชุมชนอีกเรือนแสนที่จะได้รับประโยชน์จากครูรุ่นใหม่ในโครงการนี้
       
ส่วนทาง รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ปาฐกถาพิเศษโดยระบุว่า จากการศึกษาวิจัยระบบผลิตครูคุณภาพกับทิศทางการพัฒนาการศึกษาของประเทศ ใน 12 ประเทศที่มีผลลัพธ์ทางการศึกษาระดับสูง พบว่า ในประเทศเหล่านี้ มีโครงการผลิตและพัฒนาครูที่คล้ายคลึงกับโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น แนวคิดสำคัญคือการพัฒนาวิชาชีพครูที่เชื่อมโยงต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ เพื่อไปสู่สมรรถนะของวิชาชีพขั้นสูง โดยเฉพาะช่วงก่อนเข้าสู่มหาวิทยาลัย (Candidate Teacher Students) ที่เริ่มต้นด้วยคำถามสำคัญ ณ จุดเริ่มต้นของกระบวนการผลิตและพัฒนาครูว่า ใครควรจะมาเป็นนักศึกษาครู

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือประเทศเกาหลีใต้และฟินแลนด์ ที่เปิดโอกาสให้เฉพาะเยาวชนที่จบชั้นมัธยมศึกษาด้วยคะแนนสูงสุด 15% แรกเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์สอบเข้าเรียนคณะครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ ทำให้ครูเป็นอาชีพที่เตรียมไว้เฉพาะสำหรับเยาวชนที่มีศักยภาพสูง ส่วนอีกระบบสำคัญคือการคัดเลือกคนเข้าเรียน ที่จะต้องผ่านเกณฑ์ 3 ข้อ คือ ความสามารถทางวิชาการ ความสามารถทางภาษา และคุณลักษณะความพร้อมในการเป็นครู ซึ่งจะวัดประเมินตั้งแต่ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิต และเมื่อผ่านคัดเลือกแล้ว นักศึกษาครู (Teacher Students) จะต้องเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ควบคู่กันระหว่างในห้องเรียนกับหน้างานจริง เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับวิธีการจัดการเรียนรู้ในพื้นที่ที่แตกต่างหลากหลาย สถาบันผลิตและพัฒนาครูจึงต้องมี Enrichment Program หรือหลักสูตรที่ช่วยเติมเต็มการทำงานในบริบทเฉพาะทาง จนถึงช่วงเริ่มต้นการเป็นครู (Beginning Teacher) ที่จะมีการดูแลอย่างต่อเนื่องระหว่างสถาบันผลิตและพัฒนาครู ร่วมกับโรงเรียนปลายทาง ภายใต้กรอบการพัฒนาครูใหม่ 3 ด้าน คือ 1.คุณลักษณะส่วนบุคคล 2.ทักษะทางวิชาชีพ และ 3.ทักษะทางสังคมเพื่อการพัฒนาชุมชน

“อีกตัวอย่างที่น่าสนใจของการผลิตครูในระบบปิดเพื่อตอบโจทย์เชิงพื้นที่ คือในประเทศแคนาดาและออสเตรเลีย ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีหลายส่วนของประเทศที่กันดารและยากลำบาก ครูส่วนใหญ่จึงเลี่ยงจะเข้าไปทำงานตรงนั้น สองประเทศนี้จึงมีวิธีการผลิตครูสำหรับพื้นที่เฉพาะที่คล้ายคลึงกับหลักการของครู(ษ์)ถิ่น คือนำคนในพื้นที่มาเรียนรู้ในทักษะวิชาชีพครู ด้วยการเรียนรู้บทเรียนจากส่วนกลาง และนำองค์ความรู้ร่วมกับประสบการณ์เฉพาะตัว ไปต่อยอดทำงานในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้เกิดการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาชุมชนที่เหมาะสม”

เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวว่า เมื่อโลกเคลื่อนผ่านสู่ยุค Post Covid-19 ระบบนิเวศทางการศึกษา (Ecosystem & Education) ได้มีการเปลี่ยนแปลงในสามเรื่องสำคัญ ได้แก่  

1.การออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ (Curriculum design & instruction) ที่ครูต้องเปลี่ยนจากการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กทั้งห้อง (One set to all students) เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กรายคน (Tailored made to each student) ครูรุ่นใหม่จึงจำเป็นต้องมีทักษะการจัดการเรียนรู้ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม (Flexible Curriculum) สำหรับผู้เรียนที่แตกต่างหลากหลาย  

2.ระบบโรงเรียน (Schooling) เปลี่ยนจากเดิมที่เอาเด็กมานั่งเรียนร่วมกันเป็นห้อง (Lectural Classroom) มาเป็นห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Classroom) และการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self-learning Modules) มากขึ้น ครูต้องมีความสามารถในการหยิบฉวยและออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่น่าสนใจ มาช่วยให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาสมรรถนะได้เป็นรายคน

3.กระบวนการจัดการศึกษา (Education Setting) ที่ขยายฐานจากโรงเรียน (School Based) สู่บ้าน (Home Based) ซึ่งผู้ปกครองจะมีบทบาทในการจัดการเรียนรู้มากขึ้น ฉะนั้นครูต้องสามารถยกระดับการสื่อสารและสร้างความความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง เพื่อดูแลช่วยเหลือเด็กไปด้วยกันได้

“การผลิตและพัฒนาครูในวันนี้ มีความท้าทายอย่างยิ่งกับการพัฒนาประชากรสู่ศตวรรษใหม่ ในโลกที่มุ่งสู่การเรียนรู้เพื่อการคิดได้ทำเป็น โดยไม่ยึดติดกับเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและตลอดเวลา ครูต้องตามการเปลี่ยนแปลงของเนื้อหาให้ทัน และนำมาจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Active Learning ให้ได้ ดังนั้นโจทย์ความต้องการใช้ครูในอนาคต จึงต้องคำนึงถึงทั้งเรื่องอัตรากำลัง รวมถึงการจัดสรรครูที่ตรงสาขา ตรงตามความต้องการของลักษณะแต่ละโรงเรียน เราต้องมี ‘ครูที่ถูกต้อง’ เพื่อไปสอนใน ‘โรงเรียนที่ถูกต้อง’ และนี่เป็นภารกิจที่สถาบันผลิตและพัฒนาครูจะต้องทำ ด้วยการสร้างครูรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติสอดรับกับทิศทางการการพัฒนาเชิงพื้นที่ ทั้งเพื่อแก้ปัญหาที่สั่งสมมายาวนาน และตอบสนองความต้องการใช้ครูในอนาคต ซึ่งโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นคือแนวทางหนึ่งที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่การวางรากฐานระบบการผลิตและพัฒนาครูของประเทศไทยในวันข้างหน้า”

ขณะที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษาโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น กล่าวว่า บุคคลสำคัญที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการศึกษา คือ ‘ครู’ โดยเริ่มทำได้จากภายในห้องเรียน เพราะเราเห็นแล้วว่าวิธีการกำหนดกรอบเกณฑ์เดิมที่ทำจากบนลงล่าง หรือ Top-Down นั้น แม้จะมีแนวคิดหลักการหรือเจตนาที่ดีอย่างไร แต่ผลที่พิสูจน์แล้วได้แสดงให้เห็นว่าไม่เวิร์ก ฉะนั้นถ้าจะให้เวิร์ก การเปลี่ยนแปลงต้องมาจากกลุ่มครูและโรงเรียน ด้วยการทำงานที่มีเป้าหมายตั้งต้นที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของศิษย์ ภายใต้คำถามว่าอยากจะให้ลูกศิษย์ได้อะไรติดตัวไปเมื่อจบการศึกษา หมายถึงกลุ่มครูต้องรวมกลุ่มกันเรียนรู้จากการปฏิบัติ แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันผ่านกระบวนการ PLC: Professional Learning Community หรือชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อการออกแบบชั้นเรียนแล้วนำไปใช้ จากนั้นเก็บข้อมูลและตีความเพื่อปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แล้วการเรียนรู้จากประสบการณ์จะช่วยยกระดับการเรียนรู้ของศิษย์ให้เป็นไปตามเป้าหมายได้

“โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นที่ดำเนินมาถึงรุ่นที่ 5 สถาบันผลิตและพัฒนาครูได้แสดงให้เห็นแล้วว่าจะหนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครูในขั้นตอนการผลิตอย่างไร ก่อนที่ครูรุ่นใหม่เหล่านี้จะเข้าไปเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงการแก้ปัญหาและพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กห่างไกล และเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน บ้าน และชุมชนในระดับพื้นที่ โดยมีส่วนกลางเป็นผู้คิดกรอบวางแนวทางและกำหนดเป้าหมาย ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลและให้การสนับสนุน เพื่อให้ครูและโรงเรียนได้มีบทบาทในการแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่”

อย่างไรก็ตาม ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพครูและสถานศึกษา กสศ. กล่าวสรุปว่า การร่วมงานกับสถาบันผลิตและพัฒนาครูในโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 5 คือบทสรุปหนึ่งของโครงการในระยะแรก คือช่วงผลิตและพัฒนาครู 5 รุ่น รุ่นละ 4 ปี (2563-2571) โดยเป็นการวิจัยค้นหาสถาบันผลิตครูต้นแบบ หาเกณฑ์คัดเลือกนักศึกษาทุน และออกแบบหลักสูตรสร้างครูรุ่นใหม่ และนับจากปีนี้ไปจะเป็นการร่วมกันของทุกฝ่ายเพื่อกำหนดกรอบการทำงานในระยะสนับสนุนติดตามอีก 6 ปี (2571-2577) ที่บัณฑิตครูรัก(ษ์)ถิ่นจะทยอยเข้าไปเติมในโรงเรียนปลายทางจนครบ 1,500 แห่ง และเป็นจุดเริ่มของการกำหนดทิศทางการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล

ภายใต้กรอบแนวคิด 3 ด้าน ได้แก่ 1.สร้างโอกาสทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษาให้กับเยาวชนที่มีศักยภาพและขาดแคลนโอกาส 2.สร้างสถาบันต้นแบบและนวัตกรรมการผลิตและพัฒนาครูคุณภาพสูงที่สอดคล้องกับความต้องการเชิงพื้นที่ 3.พัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกลด้วยหลักสูตรที่ตรงกับบริบทพื้นที่

สำหรับหลักสูตรการผลิตครูรัก(ษ์)ถิ่นรุ่นที่ 5 จะครอบคลุมสาขาวิชาปฐมวัย ประถมศึกษา และวิชาเอกคู่ (ปฐมวัย-ประถมศึกษา) 329 อัตรา ตอบโจทย์พื้นที่เป้าหมายโรงเรียนปลายทางใน 40 จังหวัด โดยแบ่งการทำงานเป็นสามระยะคือต้นน้ำ หรือ 6 เดือนแรกกับการลงพื้นที่ค้นหา คัดกรอง คัดเลือก นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในรัศมีโรงเรียนปลายทางที่ระบุไว้ กลางน้ำคือนำนักศึกษาทุนเข้ารับการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรและมีกิจกรรมเสริมหลักสูตรในระยะเวลา 4 ปี ส่วนปลายน้ำคือช่วงการสนับสนุนติดตาม และประเมินการปฏิบัติงานของครูรัก(ษ์)ถิ่นในโรงเรียนปลายทางอีก 6 ปี

โดยหัวใจของการทำงานคือการดูแลนักศึกษาทุนที่แตกต่างหลากหลายด้วยต้นทุนและภูมิหลังของชีวิต สถาบันผลิตและพัฒนาครูจึงต้องมีการออกแบบการทำงานใหม่ร่วมกัน ระหว่างผู้บริหารและคณาจารย์ในสถาบัน








กำลังโหลดความคิดเห็น