ปลัด สธ.เตือนไทยยังอยู่ในช่วงฤดูฝน โรคติดเชื้อทางเดินหายใจยังแพร่ระบาดสูง โดยเฉพาะ "ไข้หวัดใหญ่" อัตราป่วยสูงกว่าปีที่แล้วและค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ "โควิด" แนวโน้มลดลง ย้ำสวมหน้ากากอนามัยเมื่อเจ็บป่วยหรืออยู่ในสถานที่แออัด ล้างมือบ่อยๆ ช่วยป้องกัน ด้านกรมวิทย์เผยเชื้อโควิด EG.5.1 แพร่เร็ว พบมากกว่า 10% แล้ว
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า หลังจากประเทศไทยประกาศให้โรคโควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2565 ประชาชนเลือกสวมหน้ากากอนามัยได้ตามความสมัครใจ พบว่าแนวโน้มของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยเฉพาะโรคไข้หวัดใหญ่ เพิ่มสูงขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า การสวมหน้ากากอนามัยสามารถช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคติดเชื้อทางเดินหายใจได้อย่างดี ทั้งนี้ แม้สถานการณ์โรคโควิด 19 ขณะนี้จะพบผู้ป่วยลดลงต่อเนื่อง แต่สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 16 ก.ย. 2566 มีผู้ป่วย 185,216 ราย อัตราป่วย 279.9 ต่อประชากรแสนคน มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.002 เฉพาะสัปดาห์ที่ 10-16 ก.ย. มีผู้ป่วยเพิ่มมากกว่า 12,000 ราย ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้ป่วยในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 และค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมพร้อมทีมสอบสวนควบคุมโรคเพื่อรองรับการระบาดแล้ว ตามนโยบายของ รมว.สธ.
นพ.โอภาสกล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งโรคหลักๆ ที่ยังต้องเฝ้าระวัง คือ โรคโควิด 19 อาการมักมีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย อาจมีหายใจลำบาก, โรคไข้หวัดใหญ่ ส่วนใหญ่จะมีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ ไอแห้ง น้ำมูกใส เบื่ออาหาร และโรค RSV จะมีไข้ ไอจาม มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ซึ่งการติดต่อของทั้ง 3 โรคเหมือนกัน คือ การไอ จาม สัมผัสละอองฝอยน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือการใช้สิ่งของร่วมกัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อมีอาการป่วยของโรคทางเดินหายใจ หรือเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด ต้องสวมหน้ากากอนามัย ปิดปากและจมูกให้มิดชิดเมื่อไอหรือจาม หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก รวมถึงล้างมือบ่อยๆ เพื่อช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงการติดเชื้อโรคติดต่อทางเดินหายใจเหล่านี้
นอกจากนี้ ขอความร่วมมือผู้ปกครองดูแลสังเกตอาการบุตรหลานที่เป็นเด็กนักเรียน หากเด็กป่วยมีอาการทางเดินหายใจแนะนำให้หยุดพักอยู่บ้านเพื่อดูแลรักษา ติดตามอาการ และไม่ไปแพร่เชื้อต่อที่โรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก ส่วนโรงเรียน ขอให้จัดระบบการคัดกรองอาการทางเดินหายใจ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก เพื่อแยกเด็กไม่ปะปนกับเด็กอื่นๆ และพิจารณาปิดห้องเรียนเมื่อพบเด็กป่วยหลายๆ ราย ติดต่อกัน
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงสายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทย ว่า บ้านเรายังเป็นไปตามสัดส่วนที่เยอะที่สุด คือ XBB.1.16 อยู่ดี แต่อย่างที่บอกว่า EG.5.1 หรือ HK.3 ว่าอาจจะเริ่มเข้ามา โดยเฉพาะ EG.5.1 เราพบว่าระบาดเร็ว ค่อนข้างมาก ตอนนี้ขึ้นมาสัก 10 กว่า% ในเวลาไม่นาน ถ้าเร็วจริงก็จะเบียดตัวเก่าจนหายไป แต่เท่าที่เราเห็นจะรู้ว่าติดง่าย แต่แทบไม่มีใครเป็นอะไรเลย ยังอยู่ในกลุ่มภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีความเสี่ยง หรือโรคประจำตัวเท่านั้น และจากการตรวจจากตัวอย่างต่างๆ ก็ยนยันตรงกันกับทั่วโลกว่า ยังไม่เห็นสายพันธุ์ไหนที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น