หมอแจง "อาหารทางการแพทย์" ช่วยผู้ป่วยมะเร็งที่กลืนไม่ได้ หรือต้องได้รับทางสาย ป้องกันขาดสารอาหาร ลดอากาแทรกซ้อน มีท้งแบบสำเร็จรูปและปั่นผสม ย้ำผู้ป่วยแต่ละรายมีความต้องการแตกต่างกัน ต้องปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อน
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาสำคัญทางการแพทย์และสาธารณสุข การปรับตัวหลังจากรับการรักษา ผู้ป่วยมะเร็งบางรายอาจเกิดภาวะขาดสารอาหารที่จำเป็นส่งผลทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้ แต่ระบบทางเดินอาหารยังทำงานได้ปกติ เช่น มีภาวะกลืนลำบาก สำลักอาหาร จำเป็นต้องได้รับอาหารทางสายให้อาหาร เพื่อให้ได้รับพลังงานและสารอาหารเพียงพอกับความต้องการ ป้องกันการขาดสารอาหาร ลดอาการแทรกซ้อน ซึ่งอาหารทางการแพทย์ (medical food) เป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ใช่ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยมีการใช้เป็นโภชนบำบัดสำหรับผู้ป่วย หรือผู้ที่ไม่สามารถกินอาหารปกติได้อย่างเพียงพอ โดยอาจอยู่ในรูปแบบที่ใช้กินหรือดื่มแทนอาหารมื้อหลัก ดื่มเพื่อเสริมอาหารบางมื้อ หรือใช้เป็นอาหารทางสายยาง (tube feeding)
นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผอ.รพ.มหาวชิราลงกรณธัญบุรี กล่าวว่า ผู้ป่วยที่มีอาการเบื่ออาหาร ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยมะเร็ง สามารถใช้อาหารทางการแพทย์ผ่านทางสายให้อาหาร หรือดื่มเสริมทางปาก เพื่อเพิ่มพลังงานและสารอาหารให้กับร่างกาย ซึ่งอาหารทางการแพทย์แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.อาหารสำเร็จรูป (Commercial Formula) ผลิตโดยบริษัทอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ มีลักษณะเป็นผงนำมาละลายน้ำ และแบบน้ำมีความสะดวกต่อการใช้งาน ปัจจุบันมีให้เลือกหลายสูตรตามสภาวะโรคและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย และ 2.อาหารปั่นผสม (Blenderized Diet) โดยเป็นการนำอาหารที่เตรียมจากอาหาร 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการพลังงานและสารอาหารของผู้ป่วยมาทำให้สุก จากนั้นจึงทำการปั่นผสมรวมกันเป็นเนื้อเดียว แต่ในอาหารสูตรนี้จะมีใยอาหารน้อยเนื่องจากต้องกรองหลายครั้ง ใช้เวลาในการเตรียมนานกว่าและเสี่ยงต่อการปนเปื้อน
"ผู้ป่วยมะเร็งแต่ละรายมีความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อพิจารณาในการเสริมวิตามินและแร่ธาตุเพื่อให้เพียงพอสำหรับความต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่สามารถเคี้ยวอาหารและกลืนอาหารได้ดี การรับประทานอาหารจากธรรมชาติที่มีคุณภาพดีจะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ และช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นพ.อดิศัยกล่าว