xs
xsm
sm
md
lg

อีก 17 ปี เด็กไทยหายอีก 1.2 ล้านคน หนุน "ชลน่าน" ดันวาระชาติแก้ "เด็กเกิดน้อย" ใช้แค่มิติสุขภาพไม่รอด ต้องปรับทัศนคติคนรุ่นใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สช.เปิดพื้นที่ถกหาทางออก "เด็กเกิดน้อย" หนุน "ชลน่าน" ดันวาระชาติ ย้ำต้องปรับทัศนคติ หลังคนรุ่นใหม่นิยมอยู่เป็นโสด แต่งงานช้า แก้ด้วยมิติสาธารณสุขอย่างเดียวไม่รอด ต้องสร้างระบบรองรับ เด็กเกิดมามีคุณภาพชีวิตดี หวั่นอีก 17 ปีเด็กลดฮวบอีก 1.2 ล้านคน ขาดแรงงานแถมแบกดูแลสูงอายุหลังแอ่น กระทบการคลังประเทศ

เมื่อวันที่ 16 ก.ย. นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวในเวทีสนทนานโยบายสาธารณะ (Policy Dialogue) ครั้งที่ 4 “เมื่อไทยเข้าสู่สังคมเด็กเกิดน้อย ปัญหาและทางออก” เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า ปัญหาเด็กเกิดน้อยส่งผลโดยตรงกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบในวงกว้าง การแก้ไขปัญหาจึงยุ่งยากมากกว่าเมื่อ 30 ที่แล้ว ที่ไทยเผชิญกับปัญหาเด็กเกิดมาก ประชากรขยายตัวเร็ว ซึ่งขณะนั้นใช้มาตรการทางสาธารณสุข การคุมกำเนิด ฯลฯ เข้ามาแก้ไขได้ แต่ปัญหาเด็กเกิดน้อยกลับตรงกันข้าม คือ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมิติทางการแพทย์และสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว จึงนำมาสู่การจัดเวทีสนทนาสาธารณะเพื่อแสวงหาความร่วมมือ ทางออก และรวบรวมเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาล จัดตั้งเป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาในระยะยาวต่อไป


"วันนี้โครงสร้างประชากรของไทยเปลี่ยนแปลงไป เราก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ ขณะที่คนในปัจจุบันไม่ต้องการมีบุตร ส่งผลให้เด็กเกิดน้อย อนาคตจะเกิดปัญหาทั้งด้านแรงงาน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การแบกรับสังคมสูงวัย ฯลฯ การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ต้องแสวงหาแนวทางทำให้เด็กเกิดมากขึ้น มีระบบรองรับให้เด็กที่เกิดขึ้นมาแล้วมีคุณภาพชีวิตที่ดี เจริญเติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาวะดี" นพ.ประทีปกล่าว

นพ.ประทีป กล่าวว่า ประเด็นสำคัญคือ การสร้างระบบรองรับ เพื่อให้การเกิดไม่เป็นภาระของครอบครัว ช่วยให้พ่อแม่มีความมั่นใจว่า เมื่อลูกเกิดมาแล้วจะมีความปลอดภัย เจริญเติบโตในประเทศนี้ได้อย่างมั่นคง ถือเป็นเรื่องดีที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ความสนใจและมุ่งมั่นแก้ปัญหา และจะผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งในเรื่องนี้ทางสภาพัฒน์ฯ มีแผนและแนวทางการขับเคลื่อนอยู่ แต่ถ้าจะผลักดันให้ได้ผลจำเป็นต้องมีหน่วยงานมาช่วยกันขับเคลื่อน ในวันนี้เราจึงเอาแผนของสภาพัฒน์ฯ มากาง แล้วร่วมกันวิเคราะห์ ออกแบบการทำงานในเชิงระบบ ซึ่งวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสานพลังแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง


น.ส.วรวรรณ พลิคามิน รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (สภาพัฒน์ฯ) กล่าวว่า โครงสร้างประชากรไทยขณะนี้ เด็กและแรงงานจะลดลงอย่างต่อเนื่อง สูงวัยเพิ่มสูงขึ้นมาก สะท้อนถึงสัดส่วนการพึ่งพิงของผู้สูงอายุต่อวัยแรงงานที่เพิ่มขึ้น เมื่อปี 2564 พบว่า เป็นปีแรกที่ไทยมีอัตราตายมากกว่าเกิด คือตาย 563,650 คน เกิด 544,570 คน หรือตายมากกว่าเกิด 19,080 คน และพบว่าภาระพึ่งพิงเพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2556 มีสัดส่วน 39% ของประชากรวัยแรงงาน ขณะที่ปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 44% ของประชากรวัยแรงงาน คาดการณ์ว่าปี 2583 เด็กปฐมวัยจะมีจำนวนลดลงถึง 1.2 ล้านคน จากปี 2566 มีเด็กปฐมวัย 4.3 ล้านคน แต่ในปี 2583 จะเหลือ 3.1 ล้านคน มิติคุณภาพชีวิตเด็ก พบว่า เด็กแรกเกิดอายุต่ำกว่า 6 เดือน ได้รับนมแม่อย่างเดียวเพียง 28.6% และข้อมูลปี 2564 มีเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ที่อยู่ในครัวเรือนยากจน 3.52 แสนคน ความท้าทายคือ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของ Generation ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและโครงสร้างครอบครัว โดยในอนาคตประชากรรุ่นใหม่จะเพิ่มมากขึ้น มีค่านิยมแต่งงานช้าลง อยู่เป็นโสดมากขึ้น

"การมีลูกไม่ใช่เป้าหมายลำดับต้นๆ ของคนรุ่นใหม่ ส่งผลต่ออัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลงในอนาคต และในอนาคตมีแนวโน้มที่ประชากรรุ่นใหม่จะเป็นผู้สูงอายุที่อยู่ลำพัง ไม่มีบุตรหลานพึ่งพิง และยังมีความท้าทายเรื่องขาดแคลนวัยแรงงาน นำไปสู่ความท้าทายทางการคลังของประเทศ ระยะยาวจะจัดเก็บภาษีรายได้น้อยลง รวมถึงส่วนต่างระหว่างรายรับและรายจ่ายทางสังคม มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องด้วย" น.ส.วรวรรณกล่าวและว่า ประเด็นที่ควรให้ความสำคัญหลังจากนี้ คือ 1.สร้างรากฐานที่ดีตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต ทั้งมิติครอบครัว การศึกษา 2.พัฒนาประชากรให้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ยกระดับการพัฒนาคนด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมอัปสกิล รีสกิล ขยายโอกาสการทำงานของผู้สูงอายุ และ 3.ปรับรายได้ยามชราภาพให้เพียงพอ เช่น ส่งเสริมการออมภาคบังคับ ปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษี


กำลังโหลดความคิดเห็น