รพ.กล้วยน้ำไท ร่วมเป็นหน่วยบริการรับส่งต่อผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยในสิทธิบัตรทองในพื้นที่ กทม. เพิ่มความสะดวกคนไข้ใกล้บ้าน ลดความแออัดของ รพ.รัฐ
วันนี้ (26 ส.ค.) นพ.สุวินัย บุษราคัมวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์และพยาบาล รพ.กล้วยน้ำไท กล่าวว่า รพ.กล้วยน้ำไทเป็น 1 ใน 17 รพ.เอกชนที่ร่วมมือกับ กทม.และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รับส่งต่อผู้ป่วยนอก/ผู้ป่วยในสิทธิบัตรทองในพื้นที่ กทม. ตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ตัดสินใจเข้าร่วมเนื่องจากเดิมที รพ.กล้วยน้ำไท ให้บริการคนไข้สิทธิบัตรทองอยู่แล้วประมาณ 1 แสนคน แต่ต่อมาได้มีการยกเลิกสัญญากับ สปสช. ทำให้คนไข้ที่เคยรับบริการกับกล้วยน้ำไทมีปัญหาไม่ได้รับความสะดวก ซึ่งคนไข้เดิมเหล่านี้ส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ในละแวกที่ตั้งของ รพ.กล้วยน้ำไท เมื่อยกเลิกสัญญาทำให้ถูกย้ายไปขึ้นทะเบียนกับ รพ.รัฐ ที่อยู่ไกลกว่าเดิม บางส่วนไม่สามารถหาหน่วยบริการทุติยภูมิได้ บางส่วนยังเป็นสิทธิว่างหาหน่วยบริการลงไม่ได้ และอีกส่วนถูกย้ายไปขึ้นทะเบียนกับคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่ง รพ.กล้วยน้ำไท ก็มีเครือข่ายคลินิกในระดับปฐมภูมิอยู่แล้ว เมื่อมีการส่งต่อก็จะส่งมาที่ รพ.กล้วยน้ำไท ทำให้เกิดการดูแลต่อเนื่อง แต่ตอนนี้ต้องส่งต่อไป รพ.อื่นที่ปกติก็มีความหนาแน่นอยู่แล้ว
“เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านี้แล้ว รพ.กล้วยน้ำไท จึงตัดสินใจเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการตามมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยให้สามารถถูกส่งต่อมาที่ รพ.กล้วยน้ำไท ได้ ขณะเดียวกัน ก็เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระ ลดความแออัดของ รพ.รัฐด้วย” นพ.สุวินัย กล่าว
นพ.สุวินัย กล่าวว่า ส่วนของความพร้อมในการให้บริการ รพ.กล้วยน้ำไท มีความพร้อมอย่างเต็มที่ เพราะเดิมทีให้บริการผู้ป่วยสิทธิบัตรทองอยู่แล้ว ครอบคลุมบริการตั้งแต่อาการเจ็บป่วยฉุกเฉิน รับส่งต่อจากคลินิกหรือ รพ.รัฐที่ไม่มีเตียงรองรับ โรคหัวใจ โรคประสาทและสมอง และสาขาอื่นๆ ทุกสาขา โดยผู้ป่วยสิทธิบัตรทองจะได้รับบริการตามมาตรฐานวิชาชีพ และเท่าเทียมกับผู้ป่วยประกันสังคมและผู้ป่วยเงินสดที่จ่ายเงินเอง เพียงแต่เรื่องห้องอาจจะต่างกัน เช่น สิทธิบัตรทองหรือประกันสังคมจะมีห้องรวมให้ แต่ถ้าอยากอยู่ห้องเดี่ยวก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เป็นต้น ทั้งนี้ หลังจากแถลงความร่วมมือในครั้งนี้แล้ว สิ่งที่อยากเห็นในอนาคตคือ การที่ภาครัฐให้โอกาส รพ.เอกชนเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระให้มากขึ้น เพราะคนไข้ไปหนาแน่นที่ รพ.รัฐเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่คนไข้บางส่วนอาจมีที่อยู่ใกล้กับ รพ.เอกชน มากกว่า จึงอยากให้กระจายผู้ป่วยมาให้ รพ.เอกชนมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือรัฐในการลดความแออัด