กรมควบคุมโรค ชี้ "ฝีดาษวานร" ป่วยพุ่ง เดือนละร้อยราย คาด ส.ค.ยังเจอสูงหลักร้อยอีก พบในเพศชายทั้งหมด พบเป็นกลุ่มมีเซ็กซ์ไม่ปลอดภัย นัวเนียในสถานที่ปิดมืด ส่วนใหญ่ติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย แจงกินยาต้านเอชไอวี ติดเชื้อฝีเาษวานรอาการไม่ต่างจากคนทั่วไป เว้นไม่รู้ตัวว่าป่วย ภูมิคุ้มกันลด เปิดช่องติดเชื้อฉวยโอกาสจนเสียชีวิตแบบรายแรก เผย 3 จังหวัดสีแดงติดเชื้อสูง
เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์โรคฝีดาษวานรในไทย ว่า โรคฝีดาษวานรเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการสัมผัสโดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ก็ได้ เช่น ไปสัมผัสผิวหนังบริเวณที่เป็นตุ่มหนอง แล้วรับเข้าสู่ร่างกายของเราผ่านทางผิวหนังเรา ที่ตอนนั้นอาจจะมีผิวแตก หรือเป็นแผล ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ถือว่า มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะยังมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ติดเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว และสามารถแพร่ต่อได้
ทั้งนี้ ในช่วงแรก ประมาณ ก.ค. 2565 – เม.ย. 2566 จะเป็นต่างชาติจำนวนหนึ่ง แต่ในการติดเชื้อช่วงหลังๆ นี้ผู้ติดเชื้อเป็นคนไทยเกือบ 100% ส่วนต่างชาติที่ติดเชื้อช่วงหลังก็เป็นการมาติดเชื้อในประเทศไทย ไม่ใช่เป็นการนำเชื้อมาจากต่างประเทศแล้ว อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปยังไม่ต้องกังวลมาก หากไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง คนทั่วไปแทบไม่มีโอกาสติดเลย อย่างช่วง 2-3 เดือนหลังนี้ไม่มีผู้หญิงติดเชื้อเลย มีแต่ผู้ชายที่มีความเสี่ยงทางเรื่องเพศ เพราะจากการสอบสวนโรคพบว่าเกือบ 100% เป็นคนที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย
“ฝีดาษวานรเจอในไทยตั้งแต่ ก.ค.2565 - เม.ย. 2566 เจอแค่ 20 กว่ารายเอง แต่พอ พ.ค.เจอ 20 กว่าราย มิ.ย.เจอเกือบ 50 ราย ก.ค.เจอเป็นร้อย ส่วน ส.ค.คาดว่าก็น่าจะเป็นหลักร้อยรายเหมือนกัน ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง คือมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย มีคู่นอนที่ไม่รู้จัก ในสถานที่ปิดไฟมิดๆ และมีกิจกรรมทางเพศ” นพ.โสภณ กล่าว
เมื่อถามว่า กรณีที่มีผู้เสียชีวิตรายแรกในไทย พบติดเชื้อฝีดาษวานร และเอชไอวีด้วย เสียชีวิตจากตัวไหน นพ.โสภณกล่าวว่า น่าจะเป็นสาเหตุร่วมกัน เพราะผู้เสียชีวิตรายนี้ไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวีมาก่อน เลยไม่เคยเข้ารับการตรวจรักษาเอชไอวี เพิ่งมารู้ตอนที่ติดเชื้อฝีดาษวานรแล้ว ดังนั้นภูมิคุ้มกันเลยต่ำมาก เพราะปกติคนติดเชื้อเอชไอวีหากไม่ได้รับการรักษา เม็ดเลือดขาว ซีดี 4 จะน้อย รายที่เสียชีวิตพบว่ามีระดับซีดี 4 เหลือแค่ 16 อีกทั้งยังมีโรคซิฟิลิสด้วย พอติดเชื้อฝีดาษวานรเลยทำให้เกิดการติดเชื้อรา ติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ
ถามต่อว่าผู้ติดเชื้อฝีดาษวานรขณะนี้มีจำนวนมากที่พบติดเชื้อเอชไอวีอยู่ก่อนแล้ว กลุ่มนี้ได้รับการรักษาเอชไอวีอยู่แล้วหรือไม่ กรณีที่มีการรักษาอยู่ก่อน หากรับเชื้อฝีดาษวานรจะทำให้โรคฝีดาษวานรแสดงเป็นอย่างไร นพ.โสภณ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่รู้ตัวอยู่แล้วและรับยาอยู่ แต่มีบางส่วนที่อาจจะไม่รู้ตัวว่าติดเอชไอวีมาก่อน ทำให้โรคฝีดาษวานรและการติดเชื้อเอชไอวีรุนแรงขึ้นจนเสียชีวิตเหมือนรายที่เสียชีวิตรายแรก ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาเอชไอวี พอติดเชื้อฝีดาษวานร ภูมิคุ้มกันต่ำก็จะทำให้ติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ ได้ ทั้งนี้กรณีที่ติดเชื้อเอชไอวีแล้วอยู่ในกระบวนการรักษา ได้รับยาต้านไวรัสสม่ำเสมอ เมื่อติดฝีดาษวานรก็จะไม่แตกต่างจากคนทั่วไป
เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงหรือไม่ นพ.โสภณ กล่าวว่า ก็น่าเป็นห่วงในกลุ่มเสี่ยงที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ส่วนคนทั่วไปที่ไม่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงไม่น่าห่วงนัก โดยพื้นที่ที่มีการติดเชื้อค่อนข้างมากคือ กทม. ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงเยอะ ดังนั้นขอให้ลดพฤติกรรมเสี่ยง เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เชื้อกำลังเพิ่ม ถ้าลดพฤติกรรมเสี่ยงก็จะทำให้ปลอดภัย
"หากไปมีความเสี่ยงมาแล้ว ก็ให้ตรวจสอบตัวเองว่า มีผื่น หรือตุ่มบริเวณที่สัมผัสหรือไม่ ทั้งอวัยวะเพศ ปาก หน้าท้อง แผ่นอก ถ้าลุกลามเป็นตุ่มหนองมากขึ้น บางคนมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ มีต่อมน้ำเหลืองโต ให้ไปตรวจรักษาที่รพ. สวมหน้ากากอนามัย เว้นการสัมผัสกับผู้อื่น ส่วนคนที่ไม่เป็นก็ขอให้ล้างมือบ่อยๆ อย่าใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น” นพ.โสภณ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมควบคุมโรค รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. -15 ส.ค. 2566 มีผู้ป่วยฝีดาษวานร 217 ราย เป็นชาวต่างชาติ 30 ราย คนไทย 187 ราย อายุเฉลี่ยตั้งแต่ 20 - 64 ปี จำนวนนี้เสียชีวิต 1 ราย อายุ 34 ปี มีการติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้รับการรักษา ทั้งนี้ มีรายงานการติดเชื้อใน 19 จังหวัด โดยมี 3 จังหวัดที่อยู่ในระดับสีแดงคือ กทม. 136 ราย นนทบุรี 14 ราย ชลบุรี 9 ราย ระดับสีส้มมี 3 จังหวัด คือ สมุทรปราการ 9 ราย ภูเก็ต 8 ราย ปทุมธานี 7 ราย และสีเหลือง 13 จังหวัด คือ ระยอง 3 ราย สมุทรสาคร ลพบุรี มหาสารคาม ขอนแก่น พะเยา จังหวัดละ 2 ราย นครราชสีมา กาฬสินธุ์ ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครนายก เชียงราย และพระนครศรีอยุธยา จังหวัดละ 1 ราย