นักวิชาการนานาชาติ แฉบริษัทยาสูบข้ามชาติทุ่มงบวิจัยพัฒนา "บุหรี่ไฟฟ้า" ชนิดใหม่ รีแบรนด์เป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ลดอันตรายสารเสพติด ทั้งที่จริงยิ่งทำติดหนักกว่าเดิม ห่วงล็อกกลุ่มเผ้าหมายเยาวชนนักสูบหน้าใหม่ ภาพรวมไทยยังระบาดน้อย แต่เยาวชนเข้าถึงสูงถึง 6.8% ต้องใช้ช่องทางออนไลน์สู้ให้ข้อมูลพิษภัย
เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่โรงแรมกรีน นิมมาน จ.เชียงใหม่ มูลนิธิศูนย์วิชาการสารเสพติด (SAAF) ร่วมกับ สมาคมความร่วมมือทางวิชาการของมหาวิทยาลัยนานาชาติเพื่อการลดอุปสงค์ต่อยาเสพติด คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ จัดเวทีการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การเสพติด โดยมีนักวิชาการนานาชาติเข้าร่วม เพื่อนำเสนอความสำเร็จและความท้าทายในการควบคุบยาสูบ โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านมาตรการกฏหมาย สังคมและอื่น ๆ
ดร.เจรามิยาห์ ม็อค มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา นำเสนองานศึกษาในหัวข้อปัญหาการเสพติดสารนิโคตินในกลุ่มวัยรุ่นของเมืองมาริน มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่า สารนิโคตินบ่อนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีของครูและนักเรียน และยังมีอานุภาพเสพติดสูงถึง 68% เมื่อเทียบกับสารเสพติดอื่น ๆ อย่างแอลกอฮอล์ (23%) และโคเคน (21%) ทำให้เลิกยาก ผลทางวิทยาศาสตร์นี้ ไม่ได้นับรวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า แต่เป็นที่คาดการณ์ว่า สารนิโคตินมีส่วนทำให้อัตราการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มทั้งนักเรียนมัธยมปลายสหรัฐ และกลุ่มผู้ใหญ่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ประเด็นที่น่าสนใจคือ บริษัทบุหรี่ข้ามชาติลงทุนมหาศาลด้านวิจัยและพัฒนาเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมไปยังกลุ่มนักสูบหน้าใหม่ให้มากที่สุด และปรับภาพลักษณ์องค์กรเป็น “ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ลดอันตรายจากการใช้สารเสพติด” อย่าง Altria แท้จริงแล้วคือบริษัทแม่ของ ฟิลิป มอร์ริส
“วัตถุประสงค์หลักของการวิจัยพัฒนาและปรับภาพลักษณ์องค์กรของบริษัทบุหรี่ เพื่อทำการตลาดเชิงรุกและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายนักสูบหน้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนตั้งแต่มัธยมปลายขึ้นไป เพื่อสร้างการรับรู้ที่ผิดว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าปกติไม่มีพิษภัย มีแนวโน้มสูงว่าจากนี้ บริษัทบุหรี่ข้ามชาติทั่วโลกจะมุ่งพัฒนาธุรกิจ สร้างการตลาดและการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าไปในทิศทางเดียวกัน” ดร.ม็อค กล่าว
ดร.ราเกซ กุปตา ประธานและ ผอ.สถาบันยุทธศาสตร์เพื่อการศึกษาและวิจัยด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยจันดิกา แคว้นปัญจาบ อินเดีย นำเสนอบทเรียนความสำเร็จและความท้าทายในการรับมือกับการตลาดเชิงรุกของบริษัทบุหรี่ไฟฟ้า ว่า อินเดียออกกฎหมายห้ามผลิต จำหน่าย ส่งออก นำเข้า ขนส่ง กระจายหรือกักตุนสินค้า รวมถึงโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าทุกชนิดตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. 2562 ซึ่งเป็นความพยายามควบคุมและลดขีดความสามารถและการเติบโตของตลาดบุหรี่ไฟฟ้า ที่สำคัญคือลดโอกาสการเข้าถึงในกลุ่มเยาวชน ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลักดันกฏหมายได้สำเร็จเพราะภาครัฐให้ความสำคัญ ทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ทั้งงานวิจัยเชิงวิชาการ และภาคสังคมขับเคลื่อนนโยบาย ติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพที่สุด หากพบผู้กระทำความผิดต้องดำเนินคดีและรับโทษ ผู้ฝ่าฝืนเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าจะได้รับโทษจำคุก 1 ปี
"การควบคุมการซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าผ่านออนไลน์ เป็นเรื่องท้าทายยิ่ง จำเป็นต้องใช้มาตรการทางสังคมร่วมรณรงค์ให้กลุ่มเป้าหมายของอุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้า คือเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้เห็นพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า ต้องรู้จักใช้สื่อโซเชียลช่วยรณรงค์ทุกรูปแบบ เพราะเป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายนักสูบหน้าใหม่ได้ง่ายที่สุด" ดร.กุปตากล่าว
ด้าน ศ.ชี่ ปาง เหวิน สถาบันวิจัยสาธารณสุขแห่งไต้หวัน กล่าวว่า ในฐานะนักวิชาการ จำเป็นต้องสื่อสารกับสังคมให้รับรู้ว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ลดอันตรายจากสารเสพติด แต่มีอันตรายยิ่งกับร่างกายของทั้งผู้สูบและผู้คนรอบข้าง งานศึกษายังบ่งชี้ด้วยว่า มีแนวโน้มสูงว่าผู้ที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าจะมาเป็นผู้ที่สูบบุหรี่แบบปกติ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงและทำให้เป็นอันตรายกับร่างกายและสุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้ งานศึกษาพบว่า การเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มประเทศแถบเอเชีย เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น ไทย อยู่ที่ 2% ของประชากรในประเทศ ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ การทำงานควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าเชิงรุกจึงเป็นเรื่องจำเป็นและทำได้จริง
ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผอ.ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า จากการสำรวจล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 ไทยยังมีการแพร่กระจายของบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนน้อย อยู่ที่ประมาณ 0.14% หรือราว 78,742 ครัวเรือน แต่เป็นที่น่าตกใจที่กลุ่มตัวอย่างเยาวชนอายุ 14-17 ปี มีการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 6.8% ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของกลุ่มเยาวชน จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างนักเรียนในโรงเรียนซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 5.8% ทั้งนี้ ไทยเกิดปรากฏการณ์ข่าวปลอมเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าแพร่ในช่องทางออนไลน์มากมาย สร้างความเข้าใจผิดว่าปลอดภัย ทั้งที่อาจเพิ่มความเสี่ยงอันตรายต่อตนเองและคนรอบข้าง จำเป็นต้องสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กลุ่มเยาวชนให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างความตระหนักรู้ถึงพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง เช่น ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ หรือสายเลิกบุหรี่ 1600 กับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นเรื่องจำเป็น