"อนุทิน" พร้อมดัน 1 ตำบล 1 บ้านพักคนชรา ฝากข้าราชการประจำ สธ. ลุยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบบริการสุขภาพดูแล "สูงอายุ" ก่อนให้ฝ่ายการเมืองผลักดันต่อ ย้ำไทยหนีสังคมสูงวัยไม่พ้น ต้องเตรียมรับมือ เดินหน้าเป็นวาระแห่งชาติรัฐบาล เผย สธ.เริ่มจัดคลินิกสูงอายุแล้ว หวังแยกช่องบริการเพิ่มการเข้าถึงและรวดเร็ว ห่วงค่านิยมล้างสมองหนี้บุญคุณทำลูกเกิดมา หวั่นทำสังคมเห็นแก่ตัว
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวเปิดงาน ประชุมวิชาการเวชศาสตร์และวิทยาการด้านผู้สูงอายุ มหกรรมสุขภาพผู้สูงอายุครั้งที่ 4 ว่า สธ.ประกาศให้ปี 2566 เป็นปีแห่งสุขภาพสูงวัยไทยเนื่องจากเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ อัตราส่วนของผู้สูงวัยในโลกนี้จะมีแต่เพิ่มมากขึ้น ไม่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งประชากรผู้สูงอายุไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นร้อยละ 20 ของประชากรหรือประมาณ 13.5 ล้านคน เรากำลังเผชิญความท้าทายหลายด้านทั้งสิ่งแวดล้อม ระบบสวัสดิการสังคม ระบบบริการสุขภาพ และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ เป็นต้น
นายอนุทินกล่าวว่า จากการไปดูงานญี่ปุ่นร่วมกับ สปสช.เพื่อดูงานด้านการดูแลผู้สูงอายุ จะพบว่าไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่ยังมีปัญหาสังคม ปัญหาเรื่องการขาดรายได้ ปัญหาการขาดความรู้สึกคุณค่าในตัวเองน้อยลง ถือว่าหนักกว่าเรา เพราะเขาไม่มีซอฟต์พาวเวอร์ คือ วัฒนธรรมแบบเราที่ได้รับความอบอุ่นจากผู้สูงอายุตั้งแต่เด็กเหมือนเรา ทำให้ผู้สูงอายุต้องดูแลตัวเอง มีฐานะหน่อยก็อาจจะมีพยาบาลมาดูแล ไม่ก็ไปอยู่เนอสเซอรี บางคนไม่ต้องการรับสภาพเช่นนั้น ต่างประเทศที่หนักกว่าเรา คือ บางคนตั้งใจก่ออาชญากรรมเล็กๆน้อยๆ ทำให้ตัวเองผิดกฎหมาย เพื่อที่จะได้ไปอยู่ในสถานกักกันหรือคุกจะได้ไม่เหงา
"สธ.เราตั้งเป้าว่าไม่ให้เกิดสภาพเช่นนี้ในไทย ในฐานะฝ่ายการเมืองก็จะพยายามนำเรื่องนี้เข้าไปอยู่ในนโยบาย โดย สธ.จะร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ ในการดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพที่ดีที่สุด ที่ผ่านมาเราพยายามหลีกเลี่ยงคำว่สสังคมผู้สูงอายุมาตลอด แต่จริงๆ เราเข้าไปแล้ว ถ้าเราไม่เตรียมตั้งแต่แรกมันก็จะไปในแนวทางที่อาจจะเพิ่มภาระกับประเทศและสังคม" นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า การจัดงานประชุมวิชาการวันนี้ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญ ต้องผลักดันในสิ่งที่อยู่ในอำนาจของหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นรัฐ เอกชน ที่ร่วมมือร่วมทำ จะไปรอนโยบายพรรคต่างๆ ที่อาจจะไม่ได้มาคุมกระทรวงนี้ ก็อาจจะมีความไม่สะดวกเกิดขึ้นเพราะฉะนั้นฝ่ายประจำต้องกำหนดภารกิจหลักแล้วนำเสนอฝ่ายนโยบาย รับรองว่าใครก็ตามที่เข้ามากำกับดูแล สธ.ถ้าได้รับการเสนอที่ดีจากภาคปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องผู้สูงอายุ คิดว่ารัฐมนตรีทุกคนก็ต้องรีบทำ เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่เขาจะสามารถทำให้โครงสร้างการดูแลสังคมผู้สูงอายุในไทยเกิดขึ้น
"สิ่งที่ผลักดันได้ ผมเองในฐานะที่อยู่ในสภาก็จะเร่งผลักดันให้เกิดกฎหมายสวัสดิการผู้สูงวัย เกิดโครงการที่พักอาศัยเพิ่มมากขึ้นเพื่อผู้สูงอายุ สมัยก่อนมี 1 ตำบล 1 รพ.สต. 1 ตำบล 1 ทุนแพทย์ สุดท้ายก็ต้องมี 1 ตำบล 1 บ้านพักผู้สูงอายุอย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องทำให้ได้ เพราะสุดท้ายแล้วเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในประเทศนี้ ต้องออกแบบสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เอื้อต่อการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ ความสะดวกสบาย การคมนาคม สามารถพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด ต้องปรับปรุงกฎหมายแรงงาน คนต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในไทยจะต้องทำอย่างไร เพราะถ้าเราเป็น Aging Society แรงงานของเราจะลดน้อยลง ก็ต้องหาวิธีสมดุลให้ได้ ให้เพิ่มผลผลิตต่างๆได้ ปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ทบทวนโครงสร้างภาษีที่เราต้องพยากรณ์รายได้ที่จะหายไปจากสังคมผู้สูงอายุ" นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ทางฝ่ายการเมืองแต่ละพรรคก็มีนโยบายต่อผู้สูงอายุ แต่ในส่วนของราชการก็ผนวกแผนงานทั้งหลายเอาไว้ คิดว่าไทยเราคงจะรับมือกับสถานการณ์ของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบได้ นี่คือสิ่งที่สำคัญมากหลีกเลี่ยงไม่พ้นแล้ว ต้องเผชิญกับมันและมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน หลักการเป้าหมายคือการดูแลให้ไม่เป็นภาระต่อสังคมและงบประมาณ ทำให้ท่านมีอายุยืนเป็นร้อยกว่าปีได้ตามที่เราอวยพรผู้สูงอายุจริงๆ
"ที่ห่วงคือ ยุคใหม่มีการเอาปู่ย่าตายายไปอยู่บ้านพักคนชรา พ่อแม่ทำงาน ลูกอยู่กับพี่เลี้ยง อยู่กับเพื่อน อยู่ด้วยตัวเอง ก็เลยเป็นปัญหาหลายๆ อย่างที่เราเห็นกันในวันนี้ เรื่องของความผูกพันมีการบอกว่าเราเกิดมาไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร พ่อแม่สนุกกันเองเราเลยเกิดมา สธ.ต้องดูตรงนี้และอย่าให้สิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นค่านิยมของประเทศเราในอนาคต ถ้าคนคิดแบบนี้ตลอด ประเทศก็ไปไม่ได้ ทุกคนจะเป็นสังคมแห่งการเห็นแก่ตัว สังคมคิดแต่ตัวเอง ไม่มีการเอื้ออาทร ปันน้ำใจ ก็จะเป็นประเทศที่อยู่ไปใครเก่งก็อยู่ได้ ใครไม่เก่งก็ถูกเหยียบย่ำ" นายอนุทินกล่าว
เมื่อถามถึงมาตรการรองรับสังคมผู้สูงอายุ นายอนุทินกล่าวว่า เราไม่ได้เพิ่งทำตั้งแต่ต้นปีนี้ เราทำอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา สธ.ร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งรัฐและเอกชนดูแลผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับสังคมผู้สูงอายุที่หนีไม่พ้นแล้ว เท่าที่ร่วมงานกับ สธ.และ สปสช.ก็เห็นความพร้อม แต่จะไม่มีคำว่าพอ ต้องพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ตามจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ตามวิถีชีวิตที่ต้องติดตามตลอดว่า จะให้บริการอย่างไรเพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ดูแลตัวเองได้ ประกอบอาชีพหารายได้ให้ตัวเองได้ ให้เป็นภาระลูกหลานและสังคมน้อยที่สุด ไม่ใช่แค่ สธ.แต่ต้องเป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลที่ต้องเตรียมพร้อมเหล่านี้ ซึ่งได้หารือกับผู้บริหาร สธ.ตลอดเวลา โดยเฉพาะปลัด สธ.และเลขาธิการ สปสช. จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุของส่วนข้าราชการประจำให้มั่นคงเข้มแข็ง เมื่อฝ่ายการเมืองที่จะเข้ามาจะได้ไปต่อยอดสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจของฝ่ายข้าราชการประจำ หาทั้งงบประมาณ สาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อดูแลผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นการบูรณาการกันได้เป็นอย่างดี
"จากนี้ต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เรารับรู้รับทราบว่าอะไรจะเข้ามา ระบบสาธารณสุขเรามีการเตรียมตัวดูแลผู้สูงอายุมาในระดับนึ่งแล้ว ต่างจังหวัดมีการดูแลผู้ป่วยติดเตียงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อบรมบุคลากรสาธารณสุขดูแลผู้สุงอายุ ในการดำรงชีวิต สร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคค่อนข้างครบวงจร การให้บริการเอง ปลัด สธ.ก็กำหนดให้มีคลินิกผู้สูงอายุ การรอคอยแพทย์ รอรับยาดูแลต่างๆ ก็ต้องยอมรับว่าต้องดูแลด้วยช่องทางพิเศษ สิ่งเหล่านี้กำลังดำเนินขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งมีความคุ้นชินมากขึ้นก็จะให้บริการเป็นมาตรฐานทั่วไป คนหนุ่มสาวช่องหนึ่ง สูงอายุคนป่วยช่องหนึ่ง เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายมากที่สุดในรูปแบบของรับบการสาธารณสุขของเรา" นายอนุทินกล่าว