ศิริราชร่วม สธ.-พม.-อปท. ศึกษาระบบดูแลสูงวัย "ญี่ปุ่น" นำมาปรับใช้วางระบบในไทย เผยญี่ปุ่นมีระบบหลากหลาย ตอบสนองสูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแตกต่าง ดึงภาคเอกชนและชุมชนเข้าร่วม รับไทยยังต่างคนต่างทำ ยังไม่ช้าหากเริ่มที่จะทำ
เมื่อวันที่ 28 ก.ค. นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ ผอ.รพ.ศิริราช เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนพร้อมด้วย ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล น.ส.แรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ผู้บริหารกรมการแพทย์ เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัยกับสถาบันเวชศาสตร์และพฤฒิวิทยาผู้สูงอายุแห่งชาติ ประเทศญี่ปุ่น (NCGG) ขยายความร่วมมือต่อเนื่องหลังครบ 3 ปี แลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาระบบดูแลผู้สูงอายุของญี่ปุ่น ดูงานที่สถาบันผู้สูงอายุโตเกียว เมโทรโพลิแทน รพ.ผู้สูงอายุและศูนย์ฟื้นฟูผู้สูงอายุอีกหลายแห่ง เนื่องจากญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมสูงอายุมาก่อน 20 ปี มีการวางระบบดูแลแบบบูรณาการครบวงจร เพื่อนำกลับมาปรับใช้วางระบบดูแลผู้สูงอายุในไทย และจัดทำโครงการร่วมกันทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภาคเอกชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถือเป็นจุดเริ่มต้นสร้างต้นแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้เป็นสังคมอายุยืนสุขภาพดีของประเทศไทย
นพ.วิศิษฎ์ กล่าวว่า ในส่วนของศิริราชขณะนี้กำลังขับเคลื่อนโครงการศูนย์วิทยาการเวชศาสตร์ผู้สูงอายุระดับชาติที่สมุทรสาคร เพื่อเป็นศูนย์ต้นแบบดูแลผู้สูงอายุ โดยเป็นสถานพยาบาลดูแลคนไข้ระยะกลาง ที่พ้นจากภาวะป่วยวิกฤตก่อนออกไปดูแลที่บ้าน วางระบบประสานเชื่อมโยงกับชุมชนรอบด้าน นอกจากนี้ ยังมีระบบส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและดูแลต่อเนื่อง เช่น กายภาพบำบัด เดย์แคร์เซ็นเตอร์ จัดกิจกรรมต่างๆ รองรับ รวมถึงการทำเวลเนสผู้สูงอายุ
"จุดเด่นการดูแลผู้สูงอายุของญี่ปุ่นเป็นระบบที่หลากหลายตอบโจทย์ผู้สูงอายุแต่ละรายที่มีความต้องการไม่เท่ากัน การดูแลที่หลากหลายจะมีทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกัน โดยรัฐเป็นผู้วางระบบกระจายคนไข้ไปสู่สถานบริการที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ญี่ปุ่นจะพยายามให้คนไข้สูงอายุได้รับการดูแลโดยครอบครัวหรือชุมชนตนเองเรียกว่า Aging in Place และมีระบบที่เข้าไปสนับสนุนให้ใช้ชีวิตเองที่บ้านได้" นพ.วิศิษฎ์กล่าว
นพ.วิศิษฎ์กล่าวว่า ขณะที่บางกิจกรรมที่ทำเองไม่ได้ก็มีระบบเข้าไปเยี่ยมบ้านหรือมีระบบนำคนไข้มาฟื้นฟูที่สถานพยาบาลในชุมชน จนถึงระยะที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงจะนำมาอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ ดังนั้นผู้สูงอายุแต่ละคนจะดูแลไม่เท่ากัน เพราะความสามารถ ความต้องการและสภาพความพึ่งพิงแต่ละคนไม่เท่ากัน ญี่ปุ่นจึงจัดระบบจัดสถานบริการที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม โดยสถานบริการแต่ละแห่งจะมีมาตรฐานเดียวกัน ขณะเดียวกัน อปท.มีส่วนสำคัญในการจัดคนตามความต้องการรับบริการ
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีกองทุนการดูแลระยะยาว เป็นระบบร่วมจ่ายที่ดูแลเมื่อสูงอายุ นอกเหนือจากกองทุนรักษาพยาบาล ดำเนินการมากว่า 20 ปีแล้ว โดยจัดเก็บรายได้จากผู้อายุ 40 ปีขึ้นไป เมื่อถึงเกณฑ์สูงอายุกองทุนนี้จะเข้ามาดูแลช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามความต้องการ โดยรัฐสนับสนุนส่วนหนึ่ง เป็นระบบกลางที่รัฐกำหนดให้ดำเนินการ ที่สำคัญ อปท.แต่ละแห่งสามารถพัฒนาระบบเพิ่มเติมให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น พื้นที่ไหนมีระบบ Long–term care ที่ดีก็จะมีคนย้ายถิ่นเข้าไปอยู่มากขึ้น เป็นระบบที่คนยอมจ่ายเพื่อสร้างสวัสดิการที่ดีขึ้นรองรับอนาคต
เมื่อถามว่าไทยช้าไปหรือไม่กับการวางระบบรองรับสังคมผู้สูงอายุ นพ.วิศิษฎ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรช้าไปกว่าการที่จะต้องทำ หากไม่เริ่มต้นก็จะยิ่งช้า ปัญหาของไทยในการดูแลผู้สูงอายุที่ผ่านมายังเป็นระบบแยกส่วน ต่างคนต่างมองต่างทำ เข้าใจว่าทุกคนหวังดี แต่จำเป็นต้องมาร่วมกันวางระบบรองรับ การเรียนรู้จากต่างประเทศเป็นอีกแนวทางที่จะนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ อยากเชิญชวนให้ร่วมคิดร่วมพัฒนาระบบกลางรองรับการดูแลสังคมผู้สูงอายุ ที่ผ่านมาหลายแห่งมีต้นแบบมีตัวอย่างที่ดี แต่เป็นบริบทที่สอดคล้องกับแต่ละพื้นที่ ต้องร่วมกันจัดทำแผน แบ่งประเภทและระดับความต้องการของแต่ละบุคคล และวางระบบรองรับ หน่วยงานหลักที่จะเข้ามาดำเนินการเรื่องนี้ที่รัฐบาลมอบหมายคือ พม. ซึ่งศิริราชก็พร้อมที่จะช่วยสนับสนุนในการวางระบบ
ที่ผ่านมา สธ.มุ่งเน้นเรื่องการรักษาพยาบาล กรมกิจการผู้สูงอายุก็จะมองแต่เรื่องสวัสดิการการฟื้นฟู แต่เรื่องทางสังคมเป็นอีกเรื่องใหญ่มากที่ต้องดูแลทั้งระบบ รวมถึงการกระจายการลงทุน หากรัฐทำทุกอย่างก็ไม่ไหว จึงต้องมีกลไกให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบเดียวกัน รัฐบาลต้องให้ความสำคัญเรื่องสังคมผู้สูงอายุมากกว่านี้ เพราะถ้าเป็นผู้สูงอายุที่ป่วยประเทศก็จะป่วย ถ้าแข็งแรงก็สามารถนำประสบการณ์องค์ความรู้ที่สะสมมาทั้งชีวิตมาช่วยทำให้เกิดผลประโยชน์ ประเทศก็จะแข็งแรง คนสูงอายุ 60-70 ปียังทำงานได้ก็ต้องนำกลับมาทำงาน
ถามถึงกรณีนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เสนอตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุผู้ที่มีรายได้สูง ช่วยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความเดือดร้อนเพื่อตัดรายจ่ายสร้างความยั่งยืนทางการคลัง นพ.วิศิษฎ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลจะช่วยอย่างไรก็ช่วยไป แต่ทำอย่างไรที่จะจัดสรรงบประมาณบางส่วนนำมาบริหารจัดระบบสวัสดิการสังคมรองรับเมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เช่น ค่าซ่อมบ้าน ค่าใช้จ่ายเมื่อต้องไปอยู่เนอสซิ่งโฮม ค่ากายภาพบำบัด เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางระบบรองรับรอบด้าน