นายกสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร ชี้ สวรส.แพร่งานวิจัย "ฟ้าทะลายโจร" ใช้รักษาโควิดไม่ได้ผล-กินแล้วตับพัง ทำประชาชน-บุคลากรแพทย์ไม่กล้าใช้ กระทบภาคอุตสาหกรรม-เกษตรกร หากไม่แก้ไขหวั่นเสียหายกว่าพันล้านบาท เร่งกระจายข้อมูลและวิจัยต่อเรียกคืนความเชื่อมั่น ชี้ สวรส.ควรตีพิมพ์งานวิจัยก่อนออกพูด
จากกรณีสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ออกมาเผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด 19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยว่า ไม่สามารถลดอัตราการเกิดปอดอักเสบ หรือลดอาการและลดปริมาณเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้ และการได้รับติดต่อกัน 5 วัน ทำให้ตับอักเสบ ล่าสุดกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกออกมาย้ำชัดว่ายังใช้รักษาโรคโควิด 19 และไข้หวัดใหญ่ได้ผล ไม่ทำให้ตับอักเสบ พร้อมระบุว่างานวิจัยยังไม่เสร็จ ยังไม่มีการสรุปผลและตีพิมพ์แต่กลับนำมาสื่อสารก่อนทำให้เข้าใจผิดนั้น
ภก.ศรัณย์ แจ้วจิรา นายกสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร ให้สัมภาษณ์ถึงผลกระทบจากงานวิจัยเกี่ยวกับประเด็นยาฟ้าทะลายโจรใช้รักษาโควิดไม่ได้ผลและทำให้ตับอักเสบ ว่า จากการที่ สวรส.ให้ข้อมูลออกมา ทำให้เกิดผลกระทบทั้ง 1.ประชาชนที่รับประทานฟ้าทะลายโจรอยู่ เกิดความกังวลว่าใช้ในโควิดไม่ได้ผลและมีโอกาสตับอักเสบด้วย จึงกังวลว่าสิ่งที่รับประทานมาในช่วงโควิดต้องไปตรวจตับหรือไม่ ตับพังหรือไม่ มีการโทรศัพท์มาสอบถามสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพรว่าต้องทำอย่างไร เราบอกว่าไม่น่ากังวลเพราะงานวิจัยอีกฉบับของสถาบันจุฬาภรณ์ก็ชัดเจนว่าไม่ทำให้ตับพังหรือตับอักเสบ 2.ผู้ใช้ยาคือ แพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย และเภสัชกรร้านยาต่างๆ ทำให้ลดความเชื่อมั่นต่อฟ้าทะลายโจรว่าก่อให้เกิดปัญหาตับอักเสบและการรักษาไม่ได้ผล ทำให้ไม่อยากใช้ยา 3.ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตสมุนไพรฟ้าทะลายโจรทั้งสารสกัดหรือแบบบดผงก็ได้รับผลกระทบ ทำให้ไม่สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออกไปได้ตามที่ควรจะเป็น ไม่มีการใช้มากขึ้นมีแต่ลดลง และ 4.ภาคเกษตรกร ที่ปลูกฟ้าทะลายโจรว่าปลูกขึ้นมาจะไปขายให้ใคร
"ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มาการส่งฟ้าทะลายโจรออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็ใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด ตามประเทศไทยที่กำหนดการใช้ฟ้าทะลายโจรขนาด 180 มิลลิกรัมต่อวัน เขาก็ใช้ตามเรากันหมด พอข่าวนี้ออกมาประเทศเพื่อนบ้านที่ทราบก็เกิดความไม่เชื่อมั่นเช่นกัน ซึ่งจากการที่อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ แถลงเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ว่าฟ้าทะลายโจรยังใช้ได้ผลและไม่เกิดตับอักเสบ ยังมีสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร สภาอุตสาหกรรมกลุ่มสมุนไพร สภาแพทย์แผนไทย สมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร ก็พยายามช่วยกันสื่อสารเรื่องนี้ออกไป เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา" ภก.ศรัณย์กล่าว
ถามว่าหลังจากมีข่าวจาก สวรส.ออกมามีการประเมินหรือไม่ว่ามีการคืนยาหรือเกิดมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจมากน้อยเท่าไร ภก.ศรัณย์กล่าวว่า ช่วงที่ออกมาประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน ทำให้เกิดภาวะชะงักในการใช้สมุนไพร ทำให้เกิดความเสียหาย แต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่ได้ลากยาวไปเป็นเดือนหรือเป็นปี ซึ่งหากลากยาวก็เสียหายหนักแน่ แต่เราคิดว่าหากไม่มีการแก้ไขข่าวนี้ก็น่าจะเสียหายหลักพันล้านบาทแน่ๆ แต่ตอนนี้เริ่มมีการแก้ไปก่อนแล้ว ก็ต้องมาวัดว่าความเชื่อมั่นกลับมาแล้ว จะเรียกกลับคืนมาได้เท่าไร
ถามว่าจะมีการเรียกร้องความรับผิดชอบไปยัง สวรส.ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทางภาคผู้ประกอบการหรือไม่ ภก.ศรัณย์กล่าวว่า เราคงต้องเดินหน้าทำวิจัยต่อให้เกิดความเชื่อมั่น เราเชื่อว่า สวรส. ก็เป็นหน่วยงานที่ให้ทุน และสนับสนุนงานวิจัย การทำงานวิจัยอาจมีข้อจำกัดบ้าง ไม่ว่าปัจจัยของคนไข้ ระยะเวลา หรือปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ ดังนั้นงานวิจัยตามหลักแล้วควรจะต้องตีพิมพ์เป็นสาธารณะก่อนถึงจะออกมาให้ข่าว และก่อนตีพิมพ์ต้องมีการพิจารณาก่อนหรือ Peer Review คือ มีคนมาอ่านงานวิจัยดูว่าจริงหรือไม่ ยุติธรรมหรือไม่ มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ สรุปตรงกับที่ทำไหม ระเบียบการวิจัยถูกต้องหรือไม่ มีคนประเมินก่อนว่าให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน หากไม่ให้ผ่านก็จะไม่ได้ตีพิมพ์ การที่งานวิจัยยังไม่ได้ Peer Review ยังไม่ได้ตีพิมพ์แล้วออกมาสื่อสารแบบนี้ก็ทำให้ได้รับผลกระทบกันไปหมด
ถามว่ามีข้อเสนออะไรถึงภาครัฐหรือภาควิชาการ เพื่อสนับสนุนการผลักดันยาสมุนไพรไทย ภก.ศรัณย์กล่าวว่า จะเห็นว่าเรื่องสมุนไพรจะมาตายเพราะข่าวลักษณะนี้ทั้งนั้น ทั้งกรณีน้ำลูกยอ ต่างประเทศกินบำรุงร่างกาย ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง วันหนึ่งมีการออกมาพูดทำให้ไตพังก็เจ๊งไปเลย ภาพลักษณ์เสียหายคนไม่กล้ากิน ก็ตายไปจากระบบ , ใบขี้เหล็ก คนใต้เอาไปต้มกินเป็นแกงขี้เหล็กช่วยให้นอนหลับสบาย อย.เคยพิจารณาให้ทะเบียนผู้ประกอบการเป็นยาขี้เหล็กแคปซูล วันดีคืนดีมีผู้ออกมาพูดว่าทานแล้วตับพัง ขี้เหล็กก็หายไปจากวงการอีกตัว เพราะคนไม่กล้ารับประทาน , กวาวเครือขาว สมัยก่อนออกมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง หรือเอามารับประทาน เพราะเป็นไฟโตเอสโตรเจนที่เป็นฮอร์โมนมาจากพืชตัวหนึ่ง ช่วยผู้หญิงที่หมดประจำเดือนได้ ปรากฏว่ามีคนออกมาพูดว่าทานมากๆ แล้วเป็นมะเร็งก็จบไปอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำซาก เพราะฉะนั้น ฟ้าทะลายโจรเป็นกรณีศึกษาว่าผู้จะออกมาพูดผลลบต้องระวังให้มาก เพราะหากข้อมูลไม่มีงานวิจัยที่ถูกต้อง ก็จะถูกนักวิชาการออกมาแย้งข้อมูล หากไม่สามารถชี้แจงหักล้างกันได้ก็อาจทำให้เสียชื่อเสียง