กรมสุขภาพจิตเผยอุณหภูมิความเครียด "คนไทย" ต่อการเมือง ดีกรีเริ่มไต่ระดับ อยู่ในภาวะปริ่มๆ ต้องเฝ้าระวัง ยังวางใจไม่ได้ แนะ 3 ข้อดูแลตนเองเสพข่าวการเมืองไม่ให้เครียดเกินไป ย้ำมีสติ ประเมินตนเอง จัดสรรเวลารับรู้ข่าวให้พอดี หากเริ่มหัวร้อนควรปรึกษาผู้อื่น
เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงสถานการณ์ภาวะเครียดจากการเสพข่าวการเมือง ว่า ความสนใจการเมืองเป็นเรื่องดี สะท้อนสังคมไทยก้าวหน้าในเรื่องนี้ ประชาชนตื่นตัวให้ความสนใจ แต่หลายเรื่องไม่สามารถเป็นไปตามที่ใจคิด กรมสุขภาพจิตมีการติดตาม รวมถึงการให้ความรู้ ข้อแนะนำต่างๆ ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ ว่า การรับรู้ข่าวสารข้อมูลอย่างมีสติทำได้อย่างไร มีข้อแนะนำการประเมินตนเองว่า เมื่อไรควรจะถอยตัวเองออกจากการรับรู้ เมื่อไรถึงขั้นที่ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษา ซึ่งข้อมูลต่างๆ สามารถศึกษาเรียนรู้ได้ผ่านเว็บไซต์กรมสุขภาพจิต
เมื่อถามว่าช่วงนี้ได้มีการสำรวจอุณหภูมิความเครียดของคนไทยว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร พญ.อัมพร กล่าวว่า กรมฯ มีการติดตามต่อเนื่อง เมื่อไรที่มีสัญญาณเขย่าบางอย่าง เช่น ต้องระวังบ้างแล้ว ก็จะออกมาบอกเล่าตัวเลข ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ยังไม่ได้ลดอุณหภูมิลง แต่ยังไต่ระดับขึ้นอย่างช้าๆ เรียกว่าอยู่ในระดับปริ่มๆ ที่ยังวางใจไม่ได้ แต่ยังไม่น่ากังวลมากไปกว่าช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง
เมื่อถามถึงคำแนะนำการดูแลตนเองในการเสพข่าวการเมืองไม่ให้เกิดความเครียดจนเกินไป พญ.อัมพร กล่าวว่า 1.การมีสติ ต้องประเมินตัวเองว่าเป็นอย่างไร หากยังรู้สึกสบายดี สะท้อนได้จากความสามารถดำรงชีวิตประจำวันได้ปกติ ทั้งกิจวัตรประจำวัน การทำงาน สัมพันธภาพกับคนครอบข้างยังไม่บกพร่อง ไม่ได้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับใครไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เพราะบางคนอาจจะไม่ได้ทะเลาะเรื่องการเมืองโดยตรง แต่อาจจะทะเลาะเรื่องอื่นๆ ก็ได้ และสำรวจตัวเองด้วยว่ากิน-นอนได้ไหม อารมณ์เบิกบานไหม หากไม่แน่ใจเข้าไปเช็กตัวเองผ่าน MENTAL HEALTH CHECK IN ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น ว่ามีความเครียดที่เป็นความเสี่ยงสูงหรือไม่
2.การจัดสรรเวลาการรับรู้ข่าวสารแต่พอสมควรกับตัวเอง หลายคนอาจจะมีดีกรีความแข็งแรงที่สามารถติดตามข่าวสารได้วันละ 4-5 ชั่วโมง แต่ก็ยังเดินหน้าทำงานต่อได้ แต่บางคนแค่ชั่วโมงเดียวก็ไม่ไหวแล้ว สองคนนี้อาจจะมีการจัดสรรเวลาที่เหมาะสมได้เหมือนกัน จึงต้องหาความเหมาะสมที่ใช่สำหรับตัวเอง และ 3.ถ้ารู้สึกว่าเราไม่ค่อยดี หงุดหงิด ให้ปรึกษาคนใกล้ชิด แต่ต้องเลือกคนใกล้ชิดที่มีวุฒิภาวะพร้อมรับฟังและปรึกษาไปกันได้ ไม่ใช่รับฟังแล้วนำไปสู่การทะเลาะ ไม่ใช่คู่สนทนา และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากพบว่าเกิดภาวะเครียดจนรุมเร้าต่อหน้าที่การงาน สัมพันธภาพ และการดูแลตนเอง รวมถึงสุขภาพ ซึ่งความเครียดสามารถผลักดันไปสู่การใช้สารเสพติด เช่น ไปดื่มสุรา สูบบุหรี่มากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังเพราะจะทำให้ปัญหาที่มีอยู่เพิ่มมากขึ้นได้