xs
xsm
sm
md
lg

‘เพราะเราไม่มีโลกสำรอง’ เสียงสะท้อนในงานศิลป์คนรุ่นใหม่ จุดประกายแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อย่ารอจนถึงวันที่โลกถูกปกคลุมด้วยฝุ่นจนไม่มีโอกาสมองเห็นรุ้ง..ภาพศิลป์สะเทือนใจ ฝีมือเยาวชนคนรุ่นใหม่ รางวัลชนะเลิศ Digital Art Contest โดย สสส. สานพลัง กทม. และ สนง.เขตปทุมวัน ให้น้อง ๆ นักเรียน นักศึกษา สะท้อนมุมมองผ่านงานศิลป์ แสดงจุดยืนในการมีส่วนร่วมต่อการแก้ปัญหาฝุ่นควันพิษในอากาศ (PM2.5) ที่เรื้อรังมานานหลายปี ภายใต้แนวคิด “There is no planet B เพราะเราไม่มีโลกสำรอง”

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหามลพิษด้านสิ่งแวดล้อม กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนมากขึ้นและรุนแรงขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ทั้งนี้จากรายงานของ Thai Health Watch 2023 ซึ่งสำรวจและจับตาทิศทางสุขภาพของคนไทยในปี 2566 พบว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ จัดอยู่ในกลุ่มสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด

ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ไม่นิ่งนอนใจที่จะร่วมเป็นพลังแก้ไขปัญหา โดยหนึ่งในนั้นคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ที่ใช้แนวทางสานพลังภาคีเครือข่าย เดินหน้าแก้ไขปัญหาด้วยยุทธศาสตร์ไตรพลัง ได้แก่ พลังความรู้ พลังสังคม และ พลังนโยบาย ดำเนินการทั้งในระดับประเทศ และนำร่องในพื้นที่ประสบปัญหา รวมถึงกรุงเทพฯ ที่ประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 หนักต่อเนื่องทุกปี

โดยล่าสุด สสส. ได้สานความร่วมมือกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานเขตปทุมวัน กทม. จัดประกวดภาพศิลปะ Digital Art Contest ของนักเรียน นักศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อแสดงจุดยืนในการมีส่วนร่วมต่อการแก้ปัญหาฝุ่นควันพิษในอากาศ (PM2.5) ที่เรื้อรังมานานหลายปีภายใต้แนวคิด “There is no planet B เพราะเราไม่มีโลกสำรอง” ด้วยความมุ่งหมายที่จะเป็นเครื่องมืออีกอย่างในการการสื่อสารและรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากฝุ่น PM2.5 รวมทั้งจุดประกายให้ประชาชนในวงกว้าง ร่วมแรงร่วมใจดูแลรักษา “โลก” นี้ ที่มีโลกเดียว ไม่มีโลกสำรอง


โดยมีน้อง ๆ จากหลากหลายสถานศึกษาสนใจส่งผลงานเข้าร่วมจำนวนหลายทีม และจากการให้ข้อมูลโดย ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. ระบุว่า แคมเปญนี้ตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมของเยาวชนที่เขารู้สึกว่า ปัญหาพีเอ็ม 2.5 เป็นปัญหาสำคัญ ที่เขาต้องมีส่วนร่วม และ สสส. มองเห็นการทำงานอย่างมีความหมายกับเยาวชนเพื่อให้พวกเขาส่งเสียงและสะท้อนถึงความห่วงใย ความกังวลใจต่าง ๆ รวมถึงการให้ทางออกที่ทุกคนทำได้ เพราะฉะนั้น งานวันนี้ให้ความสำคัญกับการสร้างพลังคนรุ่นใหม่ซึ่งถ่ายทอดผ่านงานศิลปะที่เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่ซับซ้อน และเป็นประเด็นที่เป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่เด็ก ๆ เยาวชนรู้สึกว่าเขาอยากมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาและร่วมแก้ไขปัญหา

ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส.
“สำหรับผลงานที่ส่งเข้าประกวด เราได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบ การวางเลย์เอาต์ของน้องในทีมทุก ๆ คนเลยครับ เสียดายที่การแข่งขันต้องมีแพ้ชนะ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 16 ทีม ซึ่งรอบไฟนอล คัดเหลือ 10 ทีม ต่างก็มีความเข็มแข็งเรื่องการออกแบบ การทำให้ผลงานของตัวเองมีความโดดเด่นออกมา การใช้โทนสีที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องวิกฤตที่ทุกคนต้องเข้ามาร่วมกันแก้ไข โดยเฉพาะฝั่งนโยบายที่ต้องวางกรอบการทำงานให้ชัดเจน เพราะฉะนั้น ตัวงานเหล่านี้จะถูกสื่อสารเพื่อให้เห็นถึงเสียงเรียกร้องของเยาวชนว่าเขามองถึงการแก้ปัญหาว่ามีลักษณะแบบไหนบ้าง ผ่านความคิดสร้างสรรค์ในงานศิลปะที่น่าสนใจ พวกเราเห็นถึงความทุ่มเทและพลังใจของน้อง ๆ ความตื่นตัว ทำให้เรารู้สึกว่า เรื่อง PM2.5 เป็นเรื่องที่เขาต้องสู้กับมันไป และทำให้ PM2.5 ลดหายไปให้ได้มากที่สุดในเจเนอเรชั่นนี้”

ทั้งนี้ ดร. ชาติวุฒิ ยังได้กล่าวถึงการดำเนินงานของ สสส. ในเชิงนโยบายว่า ในปัจจุบันยังมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดัน พรบ.อากาศสะอาด เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อจะเป็นกรอบในการทำงานที่จะขับเคลื่อนเรื่องของปัญหามลพิษ อย่างไรก็ตาม ในประเด็นที่เกี่ยวกับสุขภาพของกลุ่มเปราะบาง ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ๆ หรือผู้สูงวัย ที่เสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5

โดยหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นผลลัพธ์ที่ดี คือการดำเนินโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น เข้าสู่โรงเรียนในกรุงเทพมหานคร 400 กว่าโรงเรียนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเกิดจากแรงสนับสนุนเชิงนโยบายของ กทม. ทำให้โครงการประสบผลสำเร็จ โดยห้องเรียนสู้ฝุ่นเป็นวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้เด็ก ๆ เข้าใจปัญหามลพิษ เข้าใจอันตรายต่าง ๆ จาก PM2.5 อย่างชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ สสส. ยังได้ดำเนินการทำห้องปลอดฝุ่นในศูนย์เด็กเล็กหลาย ๆ แห่ง


แน่นอนว่า เมื่อพื้นที่กรุงเทพมหานครต้องได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 เป็นประจำทุกปี จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการกับปัญหานี้อย่างเต็มกำลัง ทั้งนี้จากการเปิดเผยข้อมูลโดย นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้านสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ที่ผ่านมา กทม. ได้มีการจัดตั้งทีมนักสืบฝุ่นทำการวิจัย ทำให้ได้พบว่า PM 2.5 มาจากรถยนต์, การพัดของลมตามฤดูกาล และการเผาวัชพืช โดย กทม. ได้เฝ้าระวังร่วมกับหน่วยงานต่างๆ มีการตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ตามจุดฮอตสปอต และแจ้งเตือนผ่านระบบเเอปพลิเคชัน เพื่อแจ้งสถานการณ์เชิงรุกให้ประชาชน

นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ด้านสิ่งแวดล้อม
“ในการจัดการปัญหาฝุ่น กรุงเทพมหานครเรามีการแบ่งเป็น 3 ส่วน หรือ MRP โดยที่ M คือ Monitor ซึ่งมีตั้งแต่การวิเคราะห์ การแจ้งเตือน การพยากรณ์สถานการณ์ฝุ่นให้ประชาชนชนได้รับรู้ ส่วน R คือ Reduce การลดฝุ่นตั้งแต่ต้นตอ โดยมี 3 ต้นตอหลัก ได้แก่ รถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม และการเผาชีวมวล และสุดท้าย P คือ Protect การป้องกันสุขภาพของประชาชน”

นอกจากนี้แล้ว กทม. ยังมีแนวโยบายที่จะร่วมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาฝุ่นอีกมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบขนส่งสาธารณะให้ดีมีประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล , การสนับสนุนให้เกิด ecosystem รถพลังงานไฟฟ้า (EV) , การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ด้วยการสร้างสวน 15 นาทีทั่วกรุง หรือสวนใกล้บ้าน ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทุกคนสามารถไปถึงสวนสาธารณะได้ภายใน 15 นาทีด้วยการเดินเท้า โดยเป้าหมายจะให้มีทั้งหมด 500 สวน ซึ่งตอนนี้มีแล้ว 203 สวน และอีกหนึ่งนโยบายสำคัญคือการปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียวที่จะเป็นกำแพงกรองฝุ่นให้กับคนกรุง โดยในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ปลูกไปแล้วกว่า 1 แสนต้น

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว สำหรับปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกคน ดังเช่นที่ ดร.ชาติวุฒิ วังวล ให้ความคิดเห็น เพราะเรื่องนี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยคนใดคนหนึ่ง หรือหน่วยงานรัฐ หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงเท่านั้น

“สสส. ที่เป็นองค์กรนวัตกรรม เราพัฒนางานวิชาการ เราพัฒนาโมเดลต้นแบบต่าง ๆ เพื่อที่จะขยายผลไปสู่ผู้รับผิดชอบหลัก เพื่อนำโปรโตไทป์หรือโมเดลเหล่านี้ลงไปขยายผลในพื้นที่แบบก้าวกระโดด เราก็จะเห็นหลายโมเดลนะครับที่นำไปต่อยอดพัฒนาและขับเคลื่อน หรืออย่างวันนี้ที่เราเห็นเยาวชนแสดงท่าทีสำคัญผ่านงานศิลปะ เป็นท่าทีที่ผู้ใหญ่ต้องไม่นิ่งนอนใจ เพื่อจะขับเคลื่อนกฎหมาย เคลื่อนการทำงาน ให้ทุกคนปลอดภัยจากมลพิษมากขึ้น ก็เป็นนิมิตหมายที่ดีที่เราสร้างเยาวชนที่จะช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนที่มีพลัง เป็น Active Citizen ที่เราคาดหวังว่าในอนาคตจะต้องเข้ามาเป็นตัวช่วย เป็นหน่วยขุมพลังที่จะทำให้ปัญหามลพิษทางอากาศลดลง” ดร.ชาติวุฒิ วังวล กล่าวอย่างมีความหวัง

นายการัณยภาส ฉิมคล้าย กับภาพผลงานรางวัลชนะเลิศ
ทั้งนี้ ภายหลังการแสดงพลังในการพรีเซนต์ผลงานกันอย่างเข้มข้นเร้าใจของน้อง ๆ ที่เข้ารอบทั้ง 10 คน ก็ได้ผลงานที่ผ่านเข้ารับรางวัล โดยผลงานชนะเลิศได้รับรางวัลทุนการศึกษา 5,000 บาท ได้แก่ ภาพ Little hope in a forsaken world ของนายการัณยภาส ฉิมคล้าย โรงเรียนราชวินิต รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับรางวัลทุนการศึกษา 3,000 บาท ได้แก่ นายกลวัชร พูลสงวน โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับรางวัลทุนการศึกษา 2,000 บาท ได้แก่ นายศุภชัย บุตรทศรี มหาวิทยาลัยศรีปทุม

นายการัณยภาส ฉิมคล้าย เจ้าของรางวัลชนะเลิศ ได้บอกเล่าถึงคอนเซปต์ในผลงานตัวเองว่า มีความต้องการจะสื่อถึงมุมมองของโลกในอนาคตที่สิ่งต่างๆ ถูกมลพิษ และอุทกภัยที่ไม่ได้รับการแก้ไข และถูกปล่อยปะละเลยทั้งที่เป็นเพราะฝีมือของมนุษย์เองจนเหลือทิ้งไว้เพียงซากผ่านมุมมองของเด็กคนหนึ่งที่เป็นเหมือนความหวังเพียงเล็กน้อยของโลกที่ถูกทิ้งร้าง

“ภาพนี้มาจากความรู้สึกที่อยากจะช่วยแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น และต้องการสื่อถึงโลกในอนาคตข้างหน้าที่มลพิษทางอากาศเพิ่มมากขึ้น ฝุ่นเยอะจนปกคลุมเต็มท้องฟ้าไปหมด จนเด็กน้อยคนหนึ่งไม่มีโอกาสได้เห็นรุ้งกินน้ำอีกต่อไป เด็กน้อยคนนั้นต้องขีดเขียนภาพรุ้งกินน้ำตามความคิดของเขาขึ้นมา โดยที่ไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว ผมจึงอยากให้ภาพนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ทุกคนมาร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังไปด้วยกันครับ เพราะบางสิ่งนั้น ถ้าปล่อยไว้นานไป มันก็อาจจะสายเกินไปที่จะกลับไปแก้ไขได้อีก”

นั่นคือคำกล่าวของน้องเยาวชนคนหนึ่ง ซึ่งต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ เพราะเรามีโลกนี้เพียงใบเดียว ไม่มีโลกใบที่สองไว้สำรอง แล้วพวกเราล่ะ พร้อมหรือยังที่จะร่วมเป็นพลังในการแก้ปัญหาฝุ่น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งในวันนี้และวันหน้า?







กำลังโหลดความคิดเห็น