กรมควบคุมโรค จับมือกรมราชทัณฑ์ จัดฉีดวัคซีนในเรือนจำเพิ่มเติม ทั้งหัด หัดเยอรมัน ไข้หวัดใหญ่ ลดการแพร่ระบาด ลดความเสี่ยงอาการรุนแรง หลังคุมโควิด 19 ได้อย่างดี
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์โควิด 19 ดีขึ้น ผู้คนได้รับวัคซีนไปแล้วมากกว่า 147 ล้านโดส สถานการณ์โดยรวมเป็นที่น่าพอใจ มีเพียงกลุ่มเสี่ยง 608 ที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิต รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ถูกคุมขังในเรือนจำและทัณฑสถาน โดยที่ผ่านมา กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สามารถบริหารจัดการได้ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนด ทั้งด้านการป้องกันการติดเชื้อ การควบคุมการระบาด การตรวจคัดกรองหาเชื้อในผู้ป่วยใหม่ และการรักษาอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ต้องขังทุกคนมีภูมิคุ้มกันต่อโควิด 19 ได้รับวัคซีนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับบุคคลภายนอก
นพ.ธเรศกล่าวว่า กรมควบคุมโรคพร้อมร่วมมือกรมราชทัณฑ์ ยกระดับภูมิคุ้มกันโรคโดยการให้วัคซีน อาทิ วัคซีนหัดและหัดเยอรมัน วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพิ่มเติมเพื่อลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตให้กับบุคลากรและผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วประเทศ โดยประสานไป รพ.แม่ข่ายทั้งในสังกัดและนอกสังกัด สธ. เพื่อขอให้บริการฉีดวัคซีน เป็นเรื่องที่ดีที่ทุกหน่วยงานเห็นความสำคัญ และร่วมมือกันยกระดับภูมิคุ้มกันโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ให้กับผู้ต้องขังเพื่อป้องกันการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในเรือนจำ โดยสำนักงานป้องกันควบคุมโรค 12 แห่ง และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง พร้อมเป็นจุดเชื่อมประสาน สนับสนุน ทั้งผู้เชี่ยวชาญ องค์ความรู้การป้องกันควบคุมโรค
ด้าน นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า กรมควบคุมโรคให้การสนับสนุนมาตลอด ทำให้ไม่พบเรือนจำที่มีการระบาดโควิดเป็นกลุ่มก้อนใหญ่แล้ว ผู้ต้องขังติดเชื้อลดน้อยลงอย่างมาก ส่วนการยกระดับภูมิคุ้มกันโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ให้กับบุคลากรและผู้ต้องขัง นอกเหนือจากวัคซีนโควิด 19 ในฤดูฝนนี้ คือ วัคซีนหัดและหัดเยอรมัน มีหนังสือแจ้งให้เรือนจำทุกแห่ง ประสานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) หรือ รพ.แม่ข่าย เพื่อขอรับการสนับสนุนวัคซีนให้ได้รับครบตามแนวทางการให้วัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ลดอาการป่วยหนัก รวมถึงสำเนาเรียนผู้ว่าราชการทุกจังหวัดเพื่อขอให้ช่วยกำกับติดตามการเร่งรัดการฉีดวัคซีนในเรือนจำตามมติที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ