สธ.เผยหน่วยบริการ 4 สหาย บำบัดยาเสพติด 1.4 หมื่นแห่ง ดูแลผู้ติดยาแล้ว 1.8 แสนคน ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ 1.3 แสนคน ตั้งศูนย์คัดกรองครบ 30 จังหวัด ดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดเสี่ยงสูงก่อเหตุรุนแรง จ่อขยายให้ครบทั่วประเทศ แนะครอบครัว คนใกล้ชิด สังเกต 5 สัญญาณอันตรายก่อเหตุรุนแรงซ้ำ
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ว่า การขับเคลื่อนระบบบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดอย่างครบวงจร ผ่านหน่วยงาน 4 สหาย ได้แก่ ศูนย์คัดกรอง, สถานพยาบาลยาเสพติด, สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด และศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ซึ่งปัจจุบันจัดตั้งและขึ้นทะเบียนแล้ว 14,033 แห่ง แบ่งเป็น ศูนย์คัดกรอง 9,792 แห่ง สังกัด สธ. 6,617 แห่ง สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3,175 แห่ง, สถานพยาบาลยาเสพติด 1,078 แห่ง, สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 140 แห่ง (ภาครัฐ 88 แห่ง ภาคเอกชนและองค์กรการกุศล 52 แห่ง) และศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม 3,023 แห่ง ตั้งเป้าบำบัดรักษาและลดอันตรายจากยาเสพติดทั่วประเทศ 132,602 ราย โดยข้อมูลวันที่ 16 มิ.ย. 2566 ให้การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแล้ว 182,721 ราย แยกเป็น หน่วยบริการสังกัด สธ. 92,360 ราย และภาคีเครือข่าย 90,361 ราย
นพ.โอภาสกล่าวว่า สธ.ยังได้พัฒนาพื้นที่ต้นแบบด้านการดูแลผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง (SMI-V) ใน 30 จังหวัด โดยมอบหมายให้กรมสุขภาพจิต กรมการแพทย์ และสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด สธ. ติดตามให้คำแนะนำการดำเนินงาน ซึ่งทั้ง 30 จังหวัด มีการจัดตั้งศูนย์คัดกรองครอบคลุมทุกตำบล บูรณาการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในชุมชน จัดทำแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยในจังหวัดอย่างไร้รอยต่อ ฝึกซ้อมแผนบนโต๊ะและแผนเสมือนจริงในการจัดการผู้ป่วยกรณีเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมขยายผลให้ครอบคลุมทุกจังหวัด พร้อมกันนี้ได้พัฒนาศักยภาพบุคลากรในหลักสูตรต่างๆ เพื่อรองรับการให้บริการรวม 52,120 คน โดยใน มิ.ย.นี้จะจัดฝึกอบรมระยะสั้นให้กับแพทย์และพยาบาลวิชาชีพทั้ง 13 เขตสุขภาพ และภาคีเครือข่ายเพิ่มเติมด้วย
“ปัญหาจิตเวชและยาเสพติด ครอบครัว คนใกล้ชิดและชุมชน มีส่วนสำคัญที่จะช่วยสอดส่องดูแล เฝ้าระวังไม่ให้ผู้ป่วยกลับไปเสพและก่อความรุนแรงซ้ำ รวมถึงสังเกต 5 สัญญาณอันตราย คือ นอนไม่หลับ เดินไปมา พูดคนเดียว หงุดหงิดฉุนเฉียว และหวาดระแวง ซึ่งหากพบว่ามีอาการดังกล่าว ให้รีบโทรแจ้งสายด่วน 191 หรือ 1669 เพื่อนำเข้าสู่ระบบดูแลต่อไป” นพ.โอภาสกล่าว