"อนุทิน" เผย WHO FCTC ประเมินควบคุมยาสูบ "ไทย" พบทำได้ดี ไม่หวั่นไหวอิทธิพลภาคเอกชน ผู้ผลิต "หมอประกิต" เผย 39 ประเทศ/ดินแดน ห้าม "บุหรี่ไฟฟ้า" แล้ว แนวโน้มเพิ่มขึ้น เหตุปล่อยฟรีจะควบคุมยาก ด้านหัวหน้าสำนักงานเลขาฯ WHO FCTC ชี้ไม่มีประเทศที่ห้ามบุหรี่ไฟฟ้าแล้วกลับมาเปิดขาย ห่วงยิ่งทำเยาวชนเป็นนักสูบหน้าใหม่ เก็บภาษีแค่ข้ออ้าง รัฐได้กำไรน้อย เทียบค่าใช้จ่ายดูแลสุขภาพระยะยาว ขอรัฐบาลคิดให้ดี อย่ามองผลลัพธ์ด้านเดียว
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย ดร.เอเดรียน่า แบลนโค มาร์กิโซ หัวหน้าสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก และ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ แถลงข่าวการประเมินความจำเป็น (Needs Assessment) เกี่ยวกับการดำเนินงานควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศไทย
นายอนุทินกล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ตั้งแต่ปี 2548 ประเทศที่เป็นรัฐภาคีต้องปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาฯ อย่างเคร่งครัด ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ดำเนินการออกกฎหมาย ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ เพื่อควบคุมและคุ้มครองสุขภาพของประชาชน ให้ปลอดจากพิษภัยและผลกระทบจากผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบ วันนี้หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ WHO FCTC มาเยือนประเทศไทยและ สธ. ร่วมรับฟังทบทวนกฎหมาย ยุทธศาสตร์ นโยบาย มาตรการควบคุมยาสูบของประเทศไทย รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสอบถามการดำเนินการต่างๆ ของประเทศไทย ซึ่งทาง WHO FTCT แสดงความชื่นชมเรื่องของมาตรการการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ การควบคุมการใช้ยาสูบของไทยมีประสิทธิภาพสูงเท่าเทียมนานาประเทศ สามารถเป็นแบบอย่างได้ รวมถึงมีความมุ่งมั่น มั่นคงไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพลใดๆ ของภาคเอกชน ผู้ผลิต และแรงกดดันต่างๆ เน้นในเรื่องการให้ความสำคัญสุขภาพประชาชนเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึง "บุหรี่ไฟฟ้า" ว่า การโฆษณาความเชื่อต่างๆ ว่า บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป มีประโยชน์มากกว่าบุหรี่ทั่วไป สามารถทำให้เลิกสูบบุหรี่นั้น ดร.เอเดรียน่ายืนยันในที่ประชุมว่า ข้อมูลเหล่านี้ไม่เป็นความจริงทั้งหมด ซึ่ง สธ.เองก็ยืนยันว่า การบริโภคยาสูบไม่ว่าชนิดใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นใบยาหรือบุหรี่ไฟฟ้า กรมควบคุมโรคและ สธ.ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สธ.ไม่สามารถให้การสนับสนุนหรือเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการใช้บุหรี่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม เรายืนยันในเจตนารมณ์นี้ เพราะจากข้อมูลต่างๆ ที่เรามี เมื่อเทียบกับโทษที่ประชาชนจะได้รับจากบุหรี่ไฟฟ้า จึงยังไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือปรับปรุงได้ โดยแนวทางของ สธ.สอดคล้องกับ WHO ซึ่งรับผิดชอบดูแลสุขภาพประชากรโลก ที่ยังเชื่อมั่นว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นอันตราย
"ส่วนที่พูดถึงเรื่องภาษีสรรพสามิต ก็ไม่ได้ทำให้เกิดภาษีใดๆ มากขึ้น รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดนี้ที่จะหมดวาระลงไป หรือรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามา ทุกรัฐบาลคงต้องคำนึงถึงสุขภาพของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนการเก็บภาษีก็คงเป็นเรื่องลำดับรอง" นายอนุทินกล่าว
ด้าน ศ.นพ.ประกิตกล่าวว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ก่อนหน้านี้มี 32 ประเทศ ที่ประกาศห้ามนำเข้าห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า นกระทั่งเมื่อ ธ.ค. 2565 เพิ่มเป็น 35 ประเทศที่ห้ามบุหรี่ไฟฟ้า และช่วงต้น ม.ค. 2566 เพิ่มมาอีก 2 ประเทศ จึงรวมเป็น 37 ประเทศที่มีการห้ามบุหรี่ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ยังมีฮ่องกงและไต้หวัน ซึ่งนับว่าเป็นจีน จึงไม่ได้นับเป็นประเทศ ดังนั้น จริงๆ แล้วมีถึง 39 ประเทศ/ดินแดนที่ห้ามบุหรี่ไฟฟ้า
ดร.เอเดรียน่า กล่าวว่า จากการมาประเมินประเทศไทย พบว่าเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าและเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่นในภูมิภาคในเรื่องของการควบคุมยาสูบ ซึ่งการดำเนินการของ WHO FCTC มุ่งเน้นในการช่วยหรือปกป้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน เนื่องจากอาจมีเรื่องของผลกระทบระยะยาว หวังเป็นอย่างยิ่งจะมีมาตรการในการช่วยเรื่องของการทำงานควบคุมยาสูบ และหวังว่าประเทศไทยจะเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องของโปรโตคอลในการป้องกันการค้าเรื่องของยาสูบที่ผิดกฎหมาย
เมื่อถามถึงกรณีหากจะมีการเปลี่ยนนโยบายโดยเปิดให้มีการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าได้จะเกิดอะไรขึ้น ดร.เอเดรียน่า กล่าวว่า ไม่มีประเทศที่ห้ามบุหรี่ไฟฟ้าแล้วกลับคืน ห้ามแล้วห้ามเลยไม่เปลี่ยนแปลง และขณะนี้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่มีข้อไหนที่แนะนำว่า ควรจะให้ถูกกฎหมายหรือเป็นสิ่งดีต่อสุขภาพฉะนั้น จึงยืนยันแน่นอนว่า ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไป คนที่จะได้รับผลกระทบ คือ เยาวชน การบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบของเยาวชนจะเพิ่มมากขึ้น จะเป็นปัญหาที่สำคัญต่อไป ดังนั้น คำแนะนำคือ ห้ามแล้วต้องไม่ยกเลิก
เมื่อถามว่ามีการอ้างว่าการเปิดเสรีบุหรี่ไฟฟ้าจะช่วยให้จัดเก็บภาษีได้มากขึ้น ดร.เอเดรียน่ากล่าวว่า ภาษีเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะขณะนี้ผู้บริโภคบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ดังนั้น การหวังว่าจะได้ภาษีเป็นกอบเป็นกำจากส่วนนี้ จึงไม่ได้ในตอนนี้ และหากมีการเก็บภาษีมากขึ้นก็หมายความว่า ผู้บริโภคจะมากขึ้นด้วยเช่นกัน การที่มีผู้บริโภคมากขึ้นตรงนี้เป็นกำไรของบริษัทที่จำหน่าย แต่ไม่ใช่กำไรของภาครัฐ ที่ได้ภาษีมาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรายจ่ายที่ต้องเสียไปกับการดูแลสุขภาพ ซึ่งในทางอุตสาหกรรมเรียกว่าได้คืบจะเอาศอก เพราะเมื่อเข้ามาแล้วก็จะบอกว่า ขอภาษีต่ำลง จะได้ขายได้ เป็นการเปิดตลาด กลายเป็นว่าคนสูบบุหรี่อย่างหนึ่ง ก็จะมาซื้อของเขา แม้เราจะได้ภาษีจริง แต่หักค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่เป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวแล้วถามว่าคุ้มกันหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยสูบเข้ามาสู่เป็นการเป็นนักสูบหน้าใหม่ และยิ่งเป็นเด็กๆ สมองก็จะถูกทำร้ายด้วยนิโคติน เป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลด้านสาธารณสุข
ถามต่ออีกว่ามีการอ้างว่าเป็นเรื่องของเสรีภาพในการที่จะให้มีการเปิดขายและสูบบุหรี่ไฟฟ้า ดร.เอเดรียน่า กล่าวว่า ต้องถามตัวเองว่าอะไรสำคัญกว่ากันสำหรับประชาชน สุขภาพหรือจะเอาเงิน อะไรคือหัวใจของประเทศนี้ และการที่จะตัดสินใจอะไรสักอย่างต้องนึกถึงผลลัพธ์ด้วย ซึ่งไม่ใช่แค่ผลลัพธ์เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เรามีผลลัพธ์หลายอย่างหลายด้าน อย่ามองเรื่องเดียวแล้วคิดว่านี่คือดีแล้ว อีกอย่างคือแม้จะเสรีก็จริง แต่เสรีแบบชีวิตสั้นจะเอาหรือไม่ เสรีแบบเป็นภาระคนอื่นใช่หรือเปล่า สิ่งนี้คือสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นกับประเทศของหรือเปล่า เวลาคิดอะไรต้องคิดรอบด้าน และคิดว่าประเทศของเราควรจะไปทางไหน เราจะให้ประโยชน์สาธารณสุขหรือเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ประเทศที่ดีคืออะไรอยากให้คิดเรื่องนี้ ไม่ใช่เสรีทุกอย่างแล้วจะดีเสมอไป
ถามว่าประเทศที่หันกลับมาห้ามบุหรี่ไฟฟ้ามาจากปัจจัยอะไร เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ดร.เอเดรียน่า กล่าวว่า ประเทศที่มีการแบนบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่ม เพราะว่าการควบคุมยาก ฉะนั้นแต่ละประเทศจะต้องพิจารณาสถานะของตัวเอง ว่าตัวเองมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหนในการบังคับใช้ ดังนั้น บางประเทศที่ไม่ได้เป็นโทเทิล แบน เช่น ประเทศออสเตรเลียที่บอกว่าใช้ได้ตามคำสั่งแพทย์ แต่ถ้าเป็นการใช้เพื่อสันทนาการไม่ได้ เพราะตระหนักว่าไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างแท้จริง แต่ละประเทศจึงให้พิจารณาศักยภาพการบังคับใช้กฎหมายของตัวเอง
ศ.นพ.ประกิตกล่าวว่า จริงๆ คือเขามองว่าการไม่ห้ามบุหรี่ไฟฟ้านั้นทำให้ควบคุมไม่ได้ การห้ามจะช่วยให้ควบคุมได้ง่ายกว่าการที่เปิดและขายถูกกฎหมาย ซึ่งก็มีของผิดกฎหมายด้วย แต่หากยังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เราปิดแล้วเราไปจัดการกับที่การขายผิดกฎหมายอย่างเดียว