xs
xsm
sm
md
lg

เด็กทุกคนต้องไม่ถูกลืม! แพลตฟอร์ม ‘เติมเต็ม’ พร้อมดูแลเด็กและเยาวชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สานพลังเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” นวัตกรรมที่จะพลิกโฉมคุณภาพชีวิตน้อง ๆ เด็กและเยาวชนในครอบครัวเปราะบาง เชื่อมบริการจากภาครัฐแบบไร้รอยต่อ เพื่อดูแลช่วยเหลือน้อง ๆ เน้นคุ้มครองและป้องกันก่อนเกิดภัยคุกคามก่อนจะสายเกินไป โดยความร่วมมือของผู้ใหญ่ใจดี ทั้ง “กทม. –สพร. - สสส. - สวน. – พม.”

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบันยังมีเด็กและเยาวชนในครอบครัวที่เปราะบางจำนวนไม่น้อย ต้องอยู่ในสภาวะขาดแคลนหรือมีปัญหาต่าง ๆ ทั้งการศึกษา ที่อยู่อาศัย การปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง สุขภาพกายและสุขภาพจิต การขาดสารอาหาร และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทุกปัญหาล้วนต้องการความช่วยเหลือและดูแลอย่างทันท่วงที ก่อนที่จะสายเกินไป

คำถามสำคัญคือจะทำอย่างไรให้เด็กที่มีความต้องการความช่วยเหลือ ได้รับความช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐและเอกชนได้อย่างครอบคลุม โดยที่ข้อมูลความต้องการความช่วยเหลือจะสามารถส่งผ่านไปยังหน่วยงานหรือผู้ที่ต้องการให้ความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง เป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน


และนั่นก็เป็นที่มาของแนวคิดการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ชื่อว่า “เติมเต็ม” โดยความร่วมมือร่วมใจของผู้ใหญ่ใจดีและใส่ใจในคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนทุกคน ทั้ง กรุงเทพมหานคร สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.-DGA) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย (สวน.) รวมพลังสร้างแพลตฟอร์มนี้ขึ้นมา ด้วยเป้าหมายให้เป็นนวัตกรรมที่จะช่วยพลิกโฉมคุณภาพชีวิตจากครอบครัวเปราะบาง พร้อมทั้งเปิดตัว “ศูนย์รังสรรค์นวัตกรรม (Innovation Sandbox)” ต้นแบบแพลตฟอร์มเติมเต็ม ที่สามารถแสดงผลเชิงประจักษ์ในการคุ้มครองป้องกันเด็กตั้งแต่ระยะต้นน้ำ ตอบสนองต่อนโยบายขจัดความยากจนและการพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน

เพราะเด็กคือทรัพยากรที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร พวกเขาจะเติบโตเป็นเจ้าของเมืองและเป็นพลังขับเคลื่อนเมืองในอนาคต ดังนั้น การดูแลให้เด็ก ๆ เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จึงเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งซึ่งกรุงเทพมหานครให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ทั้งนี้ จากการให้ข้อมูลโดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ทำให้ได้รู้ว่า ณ ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครมีเด็กที่เกิดใหม่สูงถึงปีละประมาณ 70,000 คน ซึ่งในจำนวนเหล่านี้จะมีเด็กที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางและด้อยโอกาสอย่างน้อยปีละ 20,000 คน นั่นจึงนำมาซึ่งโจทย์ว่า จะทำอย่างไรเพื่อเข้าถึงเด็กกลุ่มนี้และช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือที่เหมาะสม ขณะที่การดำเนินการช่วยเหลือต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้เด็กเหล่านี้ถูกลืมหรือละเลย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ด้วยเหตุนี้ กรุงเทพมหานครและภาคีเครือข่ายจึงได้ร่วมมือกันในการคิดพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับเก็บข้อมูลและประเมินผลต่าง ๆ เพื่อดูแลเด็กที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางของกรุงเทพมหานคร โดยแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” นับเป็นกลไกในการจัดการความรู้ที่เป็นต้นแบบของระบบข่ายงานให้บริการทางสังคม ร่วมกับชุมชน โดยทำงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล และทำให้เกิด “ระบบและระเบียบวิธีการทำงาน” ในศูนย์รังสรรค์นวัตกรรมฯ ที่ทดลองและทดสอบในพื้นที่ชุมชนฟื้นนครร่มเกล้า ระยะ 4 โซน 10 เขตลาดกระบังมาแล้ว และจะดำเนินการทดสอบขยายผลให้ครอบคลุม 6 เขตใน 6 โซน ที่มีความพร้อมของกรุงเทพมหานครในอีก 3 ปีข้างหน้า หลังจากนั้นจะนำใช้ให้ครอบคลุม 50 เขต 69 ศูนย์บริการสาธารณสุข 292 ศูนย์เด็กเล็ก 437 โรงเรียนสังกัด กทม. ในอีก 5 ปี

และที่น่าดีใจไปกว่านั้นก็คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ (พม.) มีความสนใจจะบรรจุในแผน 5 ปี เป็นการจัดความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ กับ สพร. , สสส. และ สวน. เพื่อทดสอบการปรับใช้แพลตฟอร์มเติมเต็มในจังหวัดต่าง ๆ ทั้ง 4 ภูมิภาค

“สำหรับความร่วมมือในวันนี้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ และจะมีก้าวต่อ ๆ ไปในการดูแลคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันพัฒนาแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” ขึ้นมา ถือเป็นการลงทุนที่ไม่ได้ใช้ทรัพยากรเยอะ แต่ได้ผลมหาศาล เพราะเด็กจะมีการพัฒนามากในช่วงแรก หรือระหว่าง 0 - 6 ขวบ ถ้าเราดูแลเขาอย่างดี ให้เขาได้รับการพัฒนาที่เหมาะสมและมีคุณภาพ เขาก็จะเป็นคนที่มาช่วยขับเคลื่อนเมืองต่อไปในอนาคต แต่ถ้าเรารอให้เด็กโตแล้วค่อยไปดูแล ก็อาจจะสายเกินไป” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวย้ำถึงความสำคัญของแพลตฟอร์มที่พร้อมจะสนับสนุนดูแลเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ


แน่นอนว่า แพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” จะมีประสิทธิภาพอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยหนึ่งในหน่วยงานพันธมิตรที่สำคัญ คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. ซึ่งมีระบบ CPIS (Child Protection Information System) หรือระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็กทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมให้เด็กได้รับการเติมเต็มอย่างแท้จริงด้วยการใช้ดิจิทัลเข้าไปดูภาวะครอบครัวและมีการประเมินใน 4 มิติ ได้แก่ การเรียนรู้ อาชีพ สุขภาพ และด้านสังคม

จากการให้ข้อมูลโดยนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัด พม. ระบุว่า กระทรวง พม. มีภารกิจหน้าที่หลักคือให้การดูแลช่วยเหลือคนทุกช่วงวัย และในวันนี้ที่กรุงเทพมหานคร มีการเปิดพื้นที่ให้ทำงานร่วมกัน จึงนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้มีการเชื่อมโยงแบ่งปันข้อมูล โดยใช้ระบบดิจิทัลเข้ามาช่วย และเชื่อมั่นว่า แพลตฟอร์ม "เติมเต็ม" จะช่วยลดช่องว่าง ลดเวลาการสูญเสีย และเพิ่มโอกาสให้เด็ก โดยเฉพาะเด็กที่เกิดใหม่ในครอบครัวเปราะบางจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ประเทศจะได้คนไทยมีคุณภาพที่ดีในอนาคต

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัด พม.
“กระทรวง พม. ของเรามีสมุดพกอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้จัดทำมาแล้ว 2-3 ปี และหวังว่าจะมาเชื่อมโยงข้อมูลกับแพลตฟอร์ม ‘เติมเต็ม’ โดยขณะนี้มีรายงานการช่วยเหลือและสภาพปัญหาของแต่ละครอบครัว ที่ถูกบรรจุข้อมูลแล้วประมาณ 700,000 ครอบครัว ทั้งนี้ ภาพรวมของการทำงาน โดยใช้ระบบดิจิทัลกับกลุ่มคนเปราะบางเป็นเรื่องสำคัญ จะช่วยลดภาระของแพลตฟอร์ม ‘เติมเต็ม’ ได้ และถ้าได้มาเชื่อมโยงข้อมูลกัน จะเป็นการลดข้อจำกัดของระเบียบราชการ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาครัวเรือนต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น” ปลัด พม. แสดงความเชื่อมั่นต่อกระบวนการความร่วมมือที่จะเกิดขึ้น

อีกหนึ่งหน่วยงานที่ถือเป็นกำลังสำคัญร่วมขับเคลื่อนการรังสรรค์นวัตกรรมพลิกโฉมบริการคุณภาพชีวิตเด็กเปราะบาง คือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ซึ่งได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับ กทม. , สวน. และ พม. อย่างต่อเนื่อง ตามแผน 10 ปีของ สสส. เพื่อรับมือกับสังคมที่ผันผวนอย่างรุนแรง (VUCA)

ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุน สสส.
โดยที่ผ่านมา สสส. ได้ใช้ยุทธศาสตร์ไตรพลังขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว ได้แก่ พลังความรู้ พลังสังคมและพลังนโยบาย ซึ่งการพัฒนานวัตกรรม “ระบบเติมเต็ม” ช่วยพลิกโฉมบริการเพื่อคุณภาพชีวิตเด็กเปราะบาง ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของ ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ รองผู้จัดการกองทุน สสส. ระบุถึงงานวิจัยและการลงพื้นที่ ซึ่งพบว่า ภาวะเปราะบางของครอบครัวมีอัตราเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ยังขาดมาตรการ วิธีการ เครื่องมือในการจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไร้รอยต่อ โดยเฉพาะการขาดมาตรการเชิงรุกที่จะป้องกัน และคุ้มครองเด็กและครอบครัวที่เปราะบางก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤติ

“การทดสอบระบบเติมเต็มในพื้นที่ทดลอง หรือ Innovation Sandbox เป็นการเชื่อมโยงผู้ให้บริการด้านสุขภาพ การศึกษา สวัสดิการสังคม เข้ามาจัดให้เกิดบริการร่วม (Shared Service) นำร่องใน กทม. เมืองหลวงที่ขึ้นชื่อเรื่องการกระจุกตัวของทั้งโอกาสและปัญหา ก่อนที่จะถอดบทเรียนขยายผลสู่พื้นที่อื่น นับเป็นก้าวสำคัญของการคุ้มครองสิทธิและพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นต้นทางของการพัฒนาสุขภาพดีตลอดช่วงชีวิต (Lifelong Health) ตามพันธกิจของ สสส.”

รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวถึงเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ พร้อมทั้งแสดงความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานเกี่ยวกับเรื่องเด็กว่า ความยากนั้นอยู่ที่การทำงานส่วนใหญ่ไม่ได้ทำกับตัวเด็กโดยตรง เด็กเป็นเพียงกลุ่มเป้าหมาย แต่ลักษณะการทำงานจะต้องทำกับสังคมที่อยู่รอบ ๆ ตัวเด็ก ซึ่งทำให้มีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ดังนั้น ข้อดีของการมีแพลตฟอร์มเติมเต็ม คือการทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับข้อมูลชุดเดียวกันเพื่อทำให้การบูรณาการแก้ไขปัญหาของเด็กเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป

เพราะการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนด้วยระบบดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษที่ต้องให้สามารถเข้าถึงได้ และไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล การมีประเทศที่ดี หมายความว่า ประชาชนทุกคนมีสมาร์ทไลฟ์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ประเทศมีความทันสมัย หรือ สมาร์ทเนชั่น และแนวคิดของการออกแบบแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” คือ การแบ่งปันข้อมูลให้เกิดการเชื่อมต่อบริการต่าง ๆ ของหน่วยงานรัฐอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ผู้จัดบริการทุกภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนข่าวสารกับผู้รับบริการ เพื่อร่วมวางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กในทุกมิติร่วมกัน

นายสุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการ DGA
ในแง่มุมนี้ นายสุพจน์ เธียรวุฒิ ผู้อำนวยการ DGA กล่าวถึงบทบาทของ DGA ในการเข้ามาร่วมมือครั้งนี้ จุดสำคัญคือการได้เข้ามารับทราบปัญหาเกี่ยวกับการดูแลครอบครัวเปราะบาง และร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำนวัตกรรมมาพัฒนาเป็นระบบในลักษณะ Bottom Up คือ แก้ปัญหาจากคนหน้างานให้ได้รับประสิทธิผลก่อน จากนั้นนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากกรณีต่าง ๆ ไว้บนแพลตฟอร์ม เพื่อให้ พม. และกรุงเทพมหานคร นำไปใช้สำหรับการวางแผนเรื่องทรัพยากรในการพัฒนาครอบครัวเปราะบางต่อไป เป็นการบูรณาการการทำงานกับทุกหน่วยงานแบบไร้รอยต่อ ซึ่งจะทำให้นักสังคมสงเคราะห์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถแบ่งปันและวางแผนร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนและให้การช่วยเหลือแบบรอบด้านได้

“การที่เราเริ่มดำเนินการที่ลาดกระบัง ถือว่าเป็น Sanbox ส่วนในลำดับต่อไปจะเป็นการทำ Pilot คือขยายพื้นที่ให้มากขึ้น ดูว่าปัญหาแต่ละเขตแตกต่างกันหรือไม่ หากแตกต่างกันก็จะต้องมีการปรับปรุงตัวระบบเพื่อให้ตอบรับและใช้งานได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นจึงจะขยายผลให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ และหากประสบผลสำเร็จในกรุงเทพมหานครแล้วก็สามารถขยายผลไปใช้ทั่วประเทศต่อไป ทั้งนี้ แพลตฟอร์มเติมเต็มมีหลักในการแบ่งปันข้อมูลระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องให้สามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน มองเห็นปัญหาแบบองค์รวม และเสนอวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที เพื่อทำให้ชีวิตของประชาชนได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งในอนาคตก็อาจจะสามารถขยายผลไปด้านอื่น ๆ ได้โดยไม่ยาก” ผู้อำนวยการ DGA กล่าวย้ำด้วยความมั่นเชื่อมั่น

นพ.วิพุธ พูลเจริญ ผู้อำนวยการมูลนิธิ สวน.
ทั้งนี้ สำหรับความมุ่งหมายของแพลตฟอร์มเติมเต็ม ที่มีเครื่องมือดอกไม้ 4 มิติ จากการให้ข้อมูลโดย นพ.วิพุธ พูลเจริญ ผู้อำนวยการมูลนิธิ สวน. ระบุว่า ต้องการใช้เป็นเครื่องมือสำหรับสื่อความเข้าใจร่วมกันระหว่างเด็กและผู้ปกครอง กับศูนย์บริการสาธารณสุข นักสังคมสงเคราะห์ ครูศูนย์เด็กเล็ก ครูโรงเรียน ฝ่ายพัฒนาสังคมและสวัสดิการของเขต ตามแนวทางกลไกการจัดการความรู้ที่เป็นต้นแบบของข่ายงานให้บริการทางสังคมร่วมกับชุมชนที่ทำงานบนแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม”

“โดยเป้าหมายสำคัญคือต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ค้นพบและตระหนักในสถานการณ์ภัยคุกคามก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อเด็ก และสามารถร่วมวางเป้าหมาย และกำหนดแผนขั้นตอนเปลี่ยนวิถีชีวิต ให้พัฒนาไปได้เต็มตามศักยภาพที่ควรจะเป็นของเด็ก พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้ข่ายงานทางสังคมระดับชุมชน และสื่อข่าวสารในรูปข่าวกรอง (Intelligence) ให้กับการจัดข่ายบริการในระดับเขตให้มีการปรับปรุงคุณภาพเท่าทันภาวะคุกคามที่เปลี่ยนไปในอนาคต ตลอดจนสื่อสารข้อจำกัดเชิงระบบขึ้นไปสู่คณะกรรมการคุ้มครองเด็ก กทม. ให้สามารถปรับใช้ข่าวสาร ความรู้และภูมิปัญญาจากประสบการณ์ในชุมชน เพื่อปรับนโยบายคุ้มครองเด็กให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับสถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นพ.วิพุธ พูลเจริญ กล่าวทิ้งท้าย

ต้องยอมรับว่า การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม” คืออีกหนึ่งความหวังที่จะเข้ามาตอบโจทย์การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะน้อง ๆ ที่อยู่ในกลุ่มเปราะบาง ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อปกป้องและคุ้มครองน้อง ๆ ไม่ให้ต้องเผชิญกับภาวะคุกคามจนเข้าสู่วิกฤติ พร้อมทั้งได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะพวกเขาคืออนาคตของเมืองและของประเทศ หากพวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีตั้งแต่วันนี้ พวกเขาก็จะเติบโตไปเป็นพลเมืองที่ดีมีคุณภาพและเป็นกำลังในการพัฒนาสังคม พัฒนาเมือง และประเทศชาติต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น