xs
xsm
sm
md
lg

เตือนสูบ "บุหรี่" เพิ่มเสี่ยงมะเร็งช่องปาก วันละ 20 มวน เสี่ยงเพิ่ม 10 เท่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมอนามัย เตือนสูบ "บุหรี่" เพิ่มเสี่ยงมะเร็งช่องปาก สูบวันละ 20 มวน เสี่ยงเพิ่ม 10 เท่า ดื่มเหล้าควบคู่ เพิ่มเสี่ยงขึ้นเป็น 15 ปี

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งช่องปาก โดยพบว่า 8 ใน 10 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งช่องปาก เคยสูบบุหรี่มาก่อน ควันและความร้อนจากบุหรี่จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เช่น บริเวณกระพุ้งแก้ม เพดานปาก และลำคอ เมื่อถูกระคายเคืองเป็นประจำ เนื้อเยื่อจะมีการอักเสบ หนาตัว เสี่ยงต่อการเปลี่ยนเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งช่องปาก โดยการสูบบุหรี่ 20 มวนต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งช่องปากได้มากถึง 10 เท่า หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เป็นประจำร่วมด้วย จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งช่องปากมากถึง 15 เท่า โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวันและจำนวนปีที่สูบ

นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ยังมีผลกระทบอื่นๆ คือ คราบสีดำหรือน้ำตาลติดแน่นบนผิวฟัน วัสดุอุดฟันเปลี่ยนสี มีกลิ่นปาก ความสามารถในการรับรสลดลง การหลั่งน้ำลายลดลง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดฟันผุ และการสูบบุหรี่ยังเป็นอุปสรรคต่อการรักษาทางทันตกรรม จากการมีคราบเหนียวของน้ำมันดินในบุหรี่ติดแน่นบนตัวฟัน ทำให้ต้องใช้เวลาในการขัดออกนาน ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคปริทันต์ขั้นรุนแรง รักษาไม่หายขาด อีกทั้งโรคจะลุกลามมากขึ้นจนต้องสูญเสียฟัน โดยผู้ที่สูบบุหรี่ 5-14 มวนต่อวัน จะมีโอกาสสูญเสียฟันมากกว่าคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ 2 เท่า สำหรับผู้ที่ต้องถอนฟัน ผ่าฟันคุด หรือผ่าตัดในช่องปาก หากไม่หยุดสูบบุหรี่จะทำให้แผลหายช้า และมีโอกาสติดเชื้อที่กระดูกเบ้าฟัน

ขอเชิญชวนประชาชนลด ละ เลิกบุหรี่ทุกชนิด เพื่อตนเอง คนในครอบครัว อาจเริ่มต้นในวันที่ 31 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันงดสูบบุหรี่โลก รวมถึงขอเชิญชวนให้ประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งช่องปากได้ที่คลินิกทันตกรรมของรัฐทุกแห่ง ซึ่งการตรวจพบรอยโรคก่อนมะเร็งช่องปากตั้งแต่ในระยะแรกจะช่วยให้ประสิทธิผลของการรักษาดีขึ้นมาก นอกจากนี้ประชาชนสามารถตรวจรอยโรคในช่องปากได้ด้วยตนเอง หากมีรอยโรคแดง ขาว แผลหรือก้อนที่ไม่หายใน 3 สัปดาห์ก็ควรมาพบทันตแพทย์หรือแพทย์เพื่อการตรวจรักษาต่อไป” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น