xs
xsm
sm
md
lg

ดีต่อใจ ‘คนไร้บ้าน’ โครงการ One Night Count มุ่งช่วยคนไร้บ้านให้ตั้งหลักชีวิตได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นับเป็นอีกหนึ่งโครงการดี ๆ จากความร่วมมือระหว่าง สสส. - พม. และภาคีเครือข่าย สำหรับโครงการแจงนับคนไร้บ้าน หรือ One Night Count โดยลงพื้นที่แจงนับพร้อมกันทั่วประเทศ 77 จังหวัดภายในคืนเดียว เพื่อเก็บเป็นข้อมูลที่จะนำไปสู่นโยบายดูแลคนไร้บ้าน ทั้งการจ้างงาน เพิ่มคุณภาพชีวิต และลดภาวะไร้บ้านอย่างยั่งยืน

เชื่อแน่ว่า หลายคนคงคุ้นตากับภาพของประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งอาศัยที่หลับนอนในพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น สถานีขนส่ง สวนสาธารณะ ริมคลอง ข้างถนน ใต้สะพานลอย เพราะไม่มีบ้านให้กลับหรือไม่มีที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามหัวเมืองใหญ่ทั้งหลาย ที่เราจะพบเห็นคนกลุ่มนี้อยู่เสมอ ๆ ซึ่งพวกเขาได้รับการเรียกขานว่า คนเร่ร่อน หรือ “คนไร้บ้าน”

รู้หรือไม่ว่า จากการลงพื้นที่สำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2562 พบจำนวนคนไร้บ้านทั่วประเทศ 77 จังหวัด สูงถึง 2,721 คน นอกจากนั้น การระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบให้คนไร้บ้านในพื้นที่สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น 3,500 - 4,000 คน ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลไม่น้อย


อย่างไรก็ดี ในแววตาที่เหนื่อยล้ากับชีวิตที่ลำเค็ญของประชากรกลุ่มนี้ ก็ยังมีสายตาแห่งความห่วงใยและความตั้งใจดีจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่พร้อมจะเข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการจัดกิจกรรมโครงการแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) ที่พูดได้ว่า “ดีต่อใจ” ของคนไร้บ้านเป็นอย่างมาก

โดยกิจกรรมดังกล่าวนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมพัฒนาสังคมสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรุงเทพมหานคร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และภาคีเครือข่าย มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย และมูลนิธิอิสรชน เพื่อร่วมกันดำเนินการสำรวจจำนวนประชากรของคนไร้บ้าน ปี 2566 ภายในคืนเดียว พร้อมกัน 77 จังหวัดทั่วประเทศ นำไปสู่การปรับปรุง พัฒนาบริการของรัฐที่ตอบโจทย์ประชาชนคนไร้บ้านได้อย่างตรงจุด

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)
ทั้งนี้ ประเทศไทยเริ่มมีการแจงนับคนไร้บ้านมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 โดยเป็นการลงแจงนับในทุกพื้นที่ในช่วงเวลากลางคืน อันเป็นช่วงเวลาที่ประชากรคนไร้บ้านมีการเคลื่อนย้ายค่อนข้างต่ำ จากการเปิดเผยข้อมูลโดย นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ระบุว่า กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้ที่พึ่งหรือคนไร้บ้าน ด้วยการให้บริการสวัสดิการสังคม ทั้งการให้ความช่วยเหลือ คุ้มครอง และลงพื้นที่สำรวจปัญหาและความต้องการของคนไร้บ้านอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเก็บข้อมูลจำนวนคนไร้บ้านทั่วประเทศ โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ กลุ่มเป้าหมายที่รับบริการภายในหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ซึ่งปัจจุบัน มีจำนวน 5,083 คน และกลุ่มเป้าหมายคนไร้ที่พึ่งภายนอกหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ที่ให้บริการอีกกว่า 21,239 ราย ซึ่งเป็นคนไร้บ้านกว่า 2,462 ราย และอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ กว่า 1,761 ราย

“กระทรวง พม. ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่งหรือคนไร้บ้านอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ แต่กระทรวง พม. เพียงหน่วยงานเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ เนื่องจากคนไร้ที่พึ่งหรือคนไร้บ้านที่ถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) และการเสริมสร้างพลังทางสังคม (Social Empowerment) ยังมีอยู่อีกมาก ดังนั้นวันนี้ กระทรวง พม. โดย พส. จึงได้จัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) เพื่อแสดงให้เห็นว่า กระทรวง พม. ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง และมีเป้าหมายร่วมกันในการออกแบบระบบการคุ้มครองดูแล และจัดบริการสวัสดิการสังคมได้อย่างตรงจุด ตลอดจนส่งผลให้คนไร้บ้านสามารถเข้าถึงสวัสดิการและสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายอนุกูล ปีดแก้ว กล่าวถึงความสำคัญของโครงการ

นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
สำหรับการดำเนินงานโครงการ จากการเปิดเผยของนางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ อธิบายว่า ทีม “วัน โฮม” ของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กับเครือข่าย และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศ จะร่วมทำการสำรวจสถานการณ์การเข้าถึงแบบเชิงรุก ประชาชนคนไร้บ้าน อยู่ที่ไหน จะมีการไปหาถึงที่ โดยเชื่อมั่นว่า การสำรวจนี้จะเป็นประโยชน์ในการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่าง ๆ ที่สามารถตอบโจทย์และตรงความต้องการ และนำไปสู่การพัฒนาและบริการของภาครัฐให้ตรงใจประชาชนมากยิ่งขึ้น

“ในนามของกรมพัฒนาฯ ขอยืนยันเจตนารมณ์ในการทำงานว่า เราให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม และการเข้าถึงโอกาส การเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ เราอยากให้คนไร้บ้าน และ ประชากรกลุ่มเฉพาะ ได้รับความเท่าเทียมอย่างคนอื่น ๆ การแจงนับคนไร้บ้านในวันนี้ เมื่อเรามีฐานข้อมูลแล้ว การที่เราจะพัฒนาการให้บริการให้ครบถ้วนทั้ง 5 มิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ ความเป็นอยู่ ที่อยู่อาศัย การศึกษา และอาชีพรายได้ ตลอดจนการเข้าถึงสิทธิ์และการบริการของภาครัฐ ก็จะสามารถเป็นไปได้ และเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นางจตุพร โรจนพานิช กล่าวด้วยความรู้สึกเชื่อมั่น

นายสุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส.
และด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะช่วยเหลือให้ “คนไร้บ้าน ต้องตั้งหลักชีวิตได้” สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ก็เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่เข้ามาประสานความร่วมมือในโครงการนี้ โดย นายสุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ให้ข้อมูลว่า กิจกรรมครั้งนี้ จะทำให้ได้เห็นสถานการณ์ทางประชากรและสุขภาวะของคนไร้บ้านในประเทศไทยที่ครอบคลุมประเด็นทั้งในเชิงจำนวนและข้อมูลทางประชากรเชิงลึก เพื่อเป็นข้อมูลในการออกแบบและจัดทำนโยบายเกี่ยวกับคนไร้บ้านที่สอดคล้องและเท่าทันกับสถานการณ์ปัญหา

“ในการสร้างเสริมสุขภาพของ สสส. เราได้เรียนรู้ว่า คนในสังคมไทยทั่วไปไม่ได้เหมือนกัน มีกลุ่มที่เราเรียกกันว่าประชากรกลุ่มเฉพาะ กลุ่มที่มีแต้มลบในสังคมที่จะต้องเริ่มต้นด้วยการหาแต้มให้เสมอกับคนทั่วไปก่อน เราถึงจะทำการสร้างเสริมสุขภาพที่จำเป็นได้ ในคนกลุ่มนี้ที่มีอยู่ร่วม 10 กลุ่ม กลุ่มที่เราเรียกว่า คนไร้บ้าน นับเป็นกลุ่มที่ถูกกดทับอยู่เกือบ ๆ จะล่างสุด บางคนเรียกว่าเขาเป็น Poor of the Poor ซึ่งแม้แต่ประชากรที่อยู่ในชุมชนแออัดก็ยังมีความหวาดระแวงหรือกลัวคนกลุ่มนี้อยู่ก็มี เพราะฉะนั้น ภายใต้การกดทับนั้น การแก้ปัญหาของพวกเขา อย่างแรกเลย เราต้องการความรู้หรือรู้จักว่าพวกเขาเป็นใคร มีจำนวนเท่าไหร่ อยู่ที่ไหนบ้าง ต้นเหตุที่ทำให้พวกเขากลายเป็น คนไร้บ้าน มาจากอะไร”

แน่นอนว่า การสำรวจครั้งนี้จะไม่ใช่เพียงการแจงนับจำนวนคนเท่านั้น เพราะข้อมูลแบบสำรวจที่จัดทำขึ้น จะทำให้ได้รับข้อมูลรายละเอียดอย่างครบถ้วน ทั้งจำนวน ตำแหน่งแห่งที่ ไปจนถึงรู้ถึงสาเหตุปัญหาต่าง ๆ เช่นเดียวกับการสำรวจเมื่อ 2 ครั้งก่อน ที่ช่วยให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับคนไร้บ้านอย่างครอบคลุมรอบด้าน

“อย่างเช่น เรื่องที่ สสส. สนใจ คือเรื่องสุขภาวะ เราพบว่า การสูบบุหรี่ในกลุ่มคนไร้บ้าน สูงถึงร้อยละ 55 ขณะที่ในกลุ่มประชากรทั่วไป อาจจะอยู่ที่ร้อยละ 17 – 20 หรือการดื่มสุราเป็นประจำ สูงถึงร้อยละ 41 ขณะที่ประชากรพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 30 อายุเฉลี่ยที่น้อยกว่า และมีสาเหตุที่ซับซ้อนอย่างเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม และสถานการณ์อย่างโควิด-19 ก็เร่งปัญหาทุกอย่างให้มากขึ้น เราได้เห็นปัจจัยที่ชี้ให้เห็นว่า อะไรบ้าง ถ้าเขาได้รับแล้วจะลดการเป็นคนไร้บ้าน ส่วนเรื่องรายได้ ถ้าเพิ่มมาสักพันบาทต่อเดือน จะมีการลดคนไร้บ้านไปได้อีกประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ เรื่องของการดื่มเหล้า ความพิการ การได้รับเบี้ยยังชีพคนชรา หรือการได้รับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ถ้ามี จะลดสัดส่วนของคนไร้บ้านได้เท่าไหร่ แล้วอะไรที่ผลักเขาไป และผลักไปนานเท่าไหร่ อาจจะทำให้เขากลายเป็นคนไร้บ้านถาวร ในช่วงไหนที่อาจจะเป็นเวลาทองที่เราจะดึงเขากลับมาได้ ความรู้เหล่านี้สำคัญมากต่อมาตรการต่าง ๆ ที่จะมีออกมา ในเรื่องของการที่เราจะดูแล ไม่ว่าเรื่องของอาหาร ที่อยู่อาศัย บริการสาธารณสุข จุดประสานงานต่าง ๆ”


ทั้งนี้ จากข้อมูลที่พบว่า ผู้เข้ารับบริการศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน มีอายุเฉลี่ยสูงกว่าคนไร้บ้านในพื้นที่สาธารณะ นั่นแสดงให้เห็นว่า “นโยบายที่อยู่อาศัยมีความสำคัญ” สสส. จึงได้ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย พัฒนาโครงการ “ที่อยู่อาศัยคนละครึ่ง” สสส. สนับสนุนทุนให้ 60% คนไร้บ้านทำงานหารายได้มาสมทบอีก 40% ในอัตราค่าเช่า 1,700 – 2,200 บาท/เดือน โมเดลนี้ ต่อยอดโครงการนำร่อง “บ้านสวัสดิการที่อยู่อาศัยคนจนเมือง” ปรับพื้นที่ตึกร้าง ให้เป็นที่อยู่อาศัยราคาถูก โดย พม. และ กทม. โดยอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อให้คนไร้บ้าน หรือคนที่อยู่ในภาวะก้ำกึ่งต่อการไร้บ้าน สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเสี่ยงจากภาวะไร้บ้านถาวร

“ในโมเดลเหล่านี้ เราคงจะมีคำตอบสำหรับปัญหานี้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังการสำรวจวันนี้ จะช่วยทำให้เราได้ข้อมูลสำคัญของการหาคำตอบ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม ให้ประชากรกลุ่มนี้ โดย สสส. จะประสานกับหน่วยวิชาการ เช่น สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ รวมทั้งภาคประชาสังคมต่าง ๆ เช่น มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย มูลนิธิกระจกเงา มูลนิธิอิสรชน และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ เพื่อที่จะทำให้ข้อมูลที่เราได้มา นำไปสู่คำตอบของสังคม และเกิดประโยชน์สูงสุด และ สสส. มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า “คนไร้บ้าน” ต้องตั้งหลักชีวิตได้” นายสุปรีดา อดุลยานนท์ กล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
สำหรับกรุงเทพมหานคร ซึ่งกล่าวได้ว่าพื้นที่ซึ่งพบคนไร้บ้านมากที่สุดในประเทศ เนื่องจากผู้คนทั่วประเทศหลั่งไหลเข้ามาอาศัยและทำมาหากิน โดยกิจกรรมครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญและเป็นการบูรณาการที่เป็นประโยชน์ ทั้งระดับปฏิบัติและนโยบาย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานการช่วยเหลือคนไร้บ้านให้ตรงจุดและมีทิศทางที่ดีขึ้น

จากมุมมองของ นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แสดงความเห็นว่า คนไร้บ้าน เป็นส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงความบกพร่องของสวัสดิการบางอย่าง คนไร้บ้านจึงเป็นกลุ่มคนในสังคมที่ด้อยโอกาสและขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย การเข้าถึงแหล่งงาน การเข้ารับบริการทางสาธารณสุขและสิทธิสวัสดิการที่พึงได้รับ โดยจำนวนการแจงนับคนไร้บ้านในกรุงเทพมหานครของเครือข่าย ด้านคนไร้บ้าน เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558 พบจำนวน 1,307 คน และกรุงเทพมหานคร โดยสำนักพัฒนาสังคมได้มีการทำงานเชิงรุกในพื้นที่ 50 เขต อย่างต่อเนื่อง เพื่อสำรวจและทำประวัติ ให้คำปรึกษา แนะนำความช่วยเหลือตามสภาพปัญหา โดยในปี 2563-2565 พบคนไร้บ้านในพื้นที่สาธารณะ เฉลี่ยปีละ 1,346 คน

“กรุงเทพมหานคร ให้ความสำคัญกับคนไร้บ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยมีนโยบายบูรณาการความร่วมมือในรูปแบบคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายด้านคนไร้บ้านของกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เช่น สำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งกรุงเทพมหานคร มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ศูนย์ศึกษาแม่โขง สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิอิสรชน มูลนิธิกระจกเงา และเครือข่ายคนไร้บ้าน ฯลฯ เพื่อดำเนินการด้านการจัดทำระบบฐานข้อมูล การจัดระเบียบจุดบริการแจกอาหาร และการให้บริการสวัสดิการสังคมในจุด drop in จำนวน 2 แห่ง บริเวณใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า และบริเวณตรอกสาเก เป็นการรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานให้คนไร้บ้านผ่านการตรวจสอบสิทธิและสวัสดิการ

โดยทางกรุงเทพมหานครได้จัดเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำ ส่งเสริมสนับสนุน ในด้านต่าง ๆ เช่น การรักษาพยาบาล การทำบัตรประจำตัวประชาชน ณ รถบริการทะเบียนเคลื่อนที่และที่ฝ่ายทะเบียนสำนักงานเขต การส่งเสริมอาชีพ บริการจัดหางาน ตัดผม บริการรถเคลื่อนที่ ซัก อบ อาบ และรับสมัครงานตามโครงการจ้างวานข้า ของมูลนิธิกระจกเงา บริการรถสุขาเคลื่อนที่ บริการรับบริจาคและแจกอาหาร รวมถึงการเปิดให้บริการบ้านอิ่มใจ ที่ปลอดภัยของคนไร้บ้าน (Emergency shelters) บริเวณสะพานเฉลิมวันชาติ เขตพระนคร ในปี 2567 เพื่อรองรับการเข้าพักอาศัยของคนไร้บ้าน จำนวน 100 คน (ชาย 50 คน หญิง 50 คน)


“การจัดกิจกรรมเปิดตัวโครงการแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) ในครั้งนี้ ซึ่งจะมีการแจงนับคนไร้บ้านครอบคลุมทั้งประเทศพร้อมกันภายในคืนเดียว ทั้งในพื้นที่สาธารณะและในศูนย์พักของภาครัฐและเอกชน เพื่อนำไปสู่การขยายผลเชิงปฏิบัติและนโยบาย และเป็นการหนุนเสริมระบบการดูแลและป้องกันภาวะการไร้บ้าน และสมควรให้มีการแจงนับอย่างน้อยทุก ๆ 5 ปี เพื่อชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงทางประชากรคนไร้บ้าน กล่าวคือ หากจำนวนตัวเลขคนไร้บ้านมีจำนวนสูงขึ้น ก็จะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและการแก้ไขความยากจนกลุ่มเปราะบางต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย” รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวย้ำความสำคัญของการแจงนับคนไร้บ้าน

เพราะข้อมูลที่ได้รับจากการแจงนับครั้งนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการกำหนดนโยบายที่ครอบคลุม สอดคล้อง และเท่าทันกับปัญหา นับตั้งแต่การพัฒนาคุณภาพชีวิต เรื่องสุขภาพ ตลอดจนการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะของการเข้าสู่การเป็นคนไร้บ้านในกลุ่มเปราะบาง

รองศาสตราจารย์ ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในด้านวิชาการและองค์ความรู้ เปิดเผยว่า การแจงนับคนไร้บ้านครั้งนี้ จะเป็นทั้งการนับจำนวน (Head Count) และเก็บข้อมูลทางประชากรเบื้องต้นของคนไร้บ้านทั้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สาธารณะ (Unsheltered Count) และในสถานพักพิงที่รัฐหรือเอกชนจัดให้ (Sheltered Count) เพื่อป้องกันปัญหาการนับซ้ำ และสามารถกำหนดนิยามคนไร้บ้านให้ครอบคลุมทั้งในมิติทางวิชาการและมิติทางวัฒนธรรม ให้สอดคล้องกับบริบทของคนไร้บ้านในสังคมไทย สู่การนำมาพัฒนารูปแบบบริการ นวัตกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

รองศาสตราจารย์ ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“แผนงานองค์ความรู้เกี่ยวกับคนไร้บ้าน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ ยินดีที่กิจกรรมในวันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเปิดพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในประเด็นที่สำคัญ และสุดท้ายจะนำไปสู่แนวนโยบายเพื่อการขับเคลื่อนเพื่อหนุนเสริมการตั้งหลักชีวิตของคนไร้บ้าน คนจนเมือง ให้มีศักยภาพและอยู่บนความยั่งยืน เพื่อช่วยลดวิกฤติและก่อให้เกิดการพัฒนาสุขภาวะประชากรกลุ่มเปราะบางเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาวะ และความเป็นธรรมทางสังคมต่อไป” ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ กล่าวทิ้งท้าย

สุดท้ายแล้ว ต้องบอกว่า โครงการแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) นับเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคีเครือข่าย ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไร้บ้านให้ดีขึ้น ในอนาคต ภาพที่น่าเห็นใจของคนไร้บ้านซึ่งต้องดิ้นรนต่อสู้อยู่ริมทาง จะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและตรงจุด และแทนที่พวกเขาจะกลายเป็นคนไร้บ้านถาวร ประชากรกลุ่มนี้จะได้กลายเป็นคนที่มีบ้านถาวร ไม่ต้องหลับนอนกินอยู่และใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเช่นเดิมอีกต่อไป






กำลังโหลดความคิดเห็น