สมาพันธ์แพทย์ รพ.ศูนย์ฯ ทำหนังสือถึงแพทยสภา เผย 8 เหตุผลควรปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตร์ ชี้จำนวนหมอเพียงพอ ผลิตมากเปลืองทรัพยากร ควรเรียนฝึกอบรม 7 ปี เหมือน 50 ปีก่อน ให้ฝึกงาน 1 ปีก่อนจึงสอบใบประกอบฯ ได้ พร้อมเข้มกรองหลักสูตรที่ลดมาตรฐาน หลังพบเน้นแต่ปริมาณ
เมื่อวันที่ 12 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กเพจ สมาพันธ์แพทย์ รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป มีการโพสต์ข้อความระบุว่า ได้มีการส่งหนังสือจากสมาพันธ์ฯ ถึงแพทยสภาประเด็นปริมาณ/คุณภาพของแพทย์ เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2566 โดยขอให้แพทยสภาพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตรศึกษา หลักเกณฑ์การรับรองหลักสูตรแพทยศาสตรศึกษา และสถาบันผลิตแพทย์ รวมถึงการฝึกปฏิบัติงานหลังปริญญาในฐานะแพทย์ฝึกหัด เพื่อคุณภาพ และสมรรถนะของแพทยศาสตรบัณฑิต
ทั้งนี้ เพจดังกล่าวได้มีการโพสต์รายละเอียดของหนังสือถึงเหตุผลในการปรับปรุงหลักสูตร มีใจความโดยสรุปว่า 1.จำนวนแพทย์โดยรวมในปัจจุบันเพียงพอแล้ว สัดส่วนแพทย์ต่อประชากรของไทยได้ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก การเพิ่มอัตราผลิตมากเกินไปจะทำให้ขาดแคลนทรัพยากรในการผลิต เป้าหมายอัตรากำลังแพทย์กระทรวงสาธารณสุขจะเพียงพอในระยะเวลาไม่กี่ปี ตำแหน่งบรรจุข้าราชการจะไม่เพียงพอสำหรับแพทย์จบใหม่ 2.ควรมีระบบการคัดเลือกผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ
3.ควรปรับระยะเวลาการฝึกอบรมให้ได้ตามมาตรฐานสากล และเหมาะสมกับบริบทระบบสุขภาพไทย ทั้งนี้ ประมาณ 50 ปี หลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ของไทยใช้เวลา 7 ปี แต่เนื่องจากความขาดแคลนแพทย์อย่างรุนแรง แพทยสภาจึงลดเวลาฝึกอบรมลงเหลือ 6 ปี เพื่อให้แพทย์ไปทำงานในชนบทได้เร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อปัจจุบันความขาดแคลนแพทย์ไม่รุนแรงแล้ว ก็ควรปรับหลักสูตรฝึกอบรมกลับมาเป็น 7 ปีเช่นเดิม โดยศึกษาในสถานศึกษา 6 ปี ฝึกงานในสถานพยาบาลก่อนอีก 1 ปี จึงมีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม เพื่อมีเวลาฝึกอบรมนานขึ้น เพิ่มทักษะ ประสบการณ์ ลดความหนักหน่วงในการฝึกอบรม ลดความกดดันบีบคั้น ลดปัญหาสุขภาพกายและใจ
4.หลักสูตรแพทย์ใหม่ๆ บางหลักสูตร ลดมาตรฐานในการผลิตลง ได้แก่ หลักสูตรแพทย์ 4 ปี ซึ่งสหรัฐฯ รับผู้ที่จบปริญญาตรีแล้วเข้ารับการฝึกอบรม โดยศึกษาพื้นฐานการแพทย์ 2 ปี ศึกษาจากผู้ป่วยโดยตรง 2 ปี รวม 4 ปี จึงได้รับปริญญาแพทยศาสตร์ จากนั้นต้องฝึกงานอีก 1-3 ปี จึงมีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม แต่หลักสูตรที่ไทยนำมาปรับใช้ ลดเวลาศึกษาพื้นฐานการแพทย์เหลือ 1.5 ปี ศึกษาจากผู้ป่วยโดยตรง 1 ปี อีก 1.5 ปี ไปดูเรื่องอื่นๆ เมื่อศึกษาครบ 4 ปีแล้ว สอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้เลยโดยไม่ต้องฝึกงาน เป็นการลดมาตรฐาน หรือกรณีหลักสูตรแพทย์ 2 ปริญญา เป็นต้น
5.คณะแพทยศาสตร์ที่มีหลักสูตรแพทยศาสตร์หลายหลักสูตร แต่ได้รับการรับรองหลักสูตรจากแพทยสภาเพียงหลักสูตรเดียว กลับใช้หลักสูตรที่ได้รับการรับรองแล้วมาประยุกต์ใช้ แล้วถือว่าผ่านการประเมินตามกันไปด้วย แพทยสภาจึงควรรับรองหลักสูตรของคณะแพทย์ทุกหลักสูตรแยกจากกัน 6.ควรมีข้อบังคับสำหรับการรับรองหลักสูตรของคณะแพทย์ต่างประเทศ เพื่อให้มีมาตรฐานไม่น้อยกว่าหลักสูตรแพทย์ของไทย
7.แพทยสภาควรควบคุมมาตรฐานของหลักสูตร และคณะแพทย์ต่างๆ โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม ในการรับรองหรือไม่รับรองปริญญา คณะ หลักสูตรใด และยังสามารถควบคุมการเปิดของคณะแพทย์ที่ไม่พร้อม และหลักสูตรแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานได้ และ 8.แพทยสภาควรเผยแพร่รายชื่อหลักสูตร และคณะแพทย์ที่ผ่านการรับรอง เพื่อป้องกันปัญหาผู้สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต ไม่มีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม
อ่านเพิ่มเติมที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid029xSeB3yqBf3dHNTW3G78LWTRDx6QZq6mDB753XHGck1a1UjnnkxgzhwJkpEqy1cPl&id=100069501752145&mibextid=ZbWKwL
ด้าน นพ.ประดิษฐ์ ไชยบุตร ประธานสมาพันธ์แพทย์ รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป (สพศท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ทราบว่ามีการนำเข้าที่ประชุมของกรรมการแพทยสภาแล้ว แต่รายละเอียดยังต้องรอผลว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร ซึ่งสมาพันธ์ฯ กำลังรวบรวมข้อมูล คาดว่า เร็วๆ นี้จะนำเรื่องเพื่อขอเข้าพบและหารือร่วมกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถึงทางออกในการบริหารจัดการ การผลิต และการกระจายแพทย์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อเสนอพิจารณาปรับปรุงหลักสูตร มีข้อห่วงใยผลิตแพทย์มากเกินไป แสดงว่าขณะนี้แพทย์มีเพียงพอ นพ.ประดิษฐ์ กล่าวว่า มี 2 มุม ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกมีการกำหนดสัดส่วน ซึ่งไทยในปัจจุบันมีคณะแพทย์ใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ละคณะต่างก็เพิ่มจำนวนการผลิต ทำให้มีแพทย์จบใหม่แต่ละปีประมาณ 3,000 คน มีแนวโน้มว่าจำนวนแพทย์จบใหม่จะมากขึ้นในทุกๆ ปี ถือว่าไม่ได้เป็นปัญหา แต่หากพูดถึงกรณีบาง รพ. เพราะเหตุใดจำนวนแพทย์กลับไม่เพียงพอ ก็เป็นเรื่องการบริหารจัดการ การกระจายตัวของแพทย์ หนังสือที่เสนอต่อแพทยสภา มีข้อห่วงใยเรื่องการผลิตมากขึ้น จะมีประเด็นเรื่องคุณภาพ เพราะเมื่อเร่งผลิตมากเกินไป ก็มีเสียงสะท้อนกลับมา แต่อาจไม่ใช่ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย แต่ก็พบว่า การเร่งผลิตมากเกินไปจะมีผลต่อคุณภาพหรือไม่ การตัดสินใจ การดูแลคนไข้อาจไม่ได้ตามที่คาดหวัง
เมื่อถามว่าต้องหารือกับภาคส่วนอื่นๆ ด้วยหรือไม่ ทั้งสำนักงานปลัด สธ. สถาบันพระบรมราชชนก หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ นพ.ประดิษฐ์ กล่าวว่า ต้องหารือร่วมกันทั้งหมด ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแพทย์ ต้องมาคุยกันอย่างชัดเจนว่า จะมีทิศทางอย่างไรต่อไป ต้องมีการหารือกับแพทย์ผู้ปฏิบัติงานด้วยก็จะช่วยได้มาก
ถามว่าขณะนี้มีปัญหาภาระงานแพทย์ การแก้ปัญหาการผลิตแพทย์จะตอบโจทย์หรือไม่ หรือต้องเน้นการกระจายแพทย์ นพ.ประดิษฐ์ กล่าวว่า การกระจายแพทย์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งภาระงานของแพทย์เป็นเรื่องที่คุยกันมานาน แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขจริงจัง อย่างไรก็ตาม การเร่งผลิตแพทย์ต้องเข้าใจว่า มีส่วนหนึ่งลาออกไปด้วย ทำให้สูญเสียบุคลากรมากอยู่ ตรงนี้ต้องหาทางออกในการป้องกันปัญหาการสูญเสียบุคลากรด้วย ทั้งนี้ สมาพันธ์ฯ จะมีการหารือกับ สธ. เพราะมีบทบาทสูงเรื่องนี้ ซึ่งเราก็มีข้อมูลบางอย่าง หากได้คุยกันหาทางออกร่วมกัน ก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดกรรมการแพทยสภาได้มีการประชุมเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา และเสนอส่งเรื่องดังกล่าวไปยังกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย หรือ กสพท เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวต่อไป