สธ.คิกออฟฉีด "วัคซีนคู่สู้หน้าฝน" ปลัด สธ.นำร่องปัก 2 เข็มสร้างความเชื่อมั่น เน้น 7 กลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่พ่วงโควิด ลดป่วยรุนแรงและเสียชีวิตก่อนฤดูฝนที่จะระบาดสูงถึง ส.ค.-ก.ย. สปสช.จัดหาวัคซีนเพิ่มรวมเป็น 5.2 ล้านโดส กลุ่มเสี่ยงฉีดได้ทุกสิทธิการรักษา หากต้องการมากจัดหาเพิ่มเติมได้
เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่สถาบันบำราศนราดูร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดกิจกรรม World Immunization Week: 2023 Vaccine for Everyone “Episode II: วัคซีนคู่ สู้หน้าฝน (Dual Immunity)” ซึ่งภายในงาน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัด สธ. เข้ารับการฉีดวัคซีนคู่เป็นตัวอย่างรณรงค์ให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงสร้างความมั่นใจถึงความปลอดภัย โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อดีตปลัด สธ.ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ และพยาบาลฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้อีกข้างพร้อมกัน
นายอนุทิน กล่าวว่า ช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 การฉีดวัคซีนเป็นมาตรการสำคัญที่ทำให้ทุกประเทศผ่านพ้นวิกฤตการณ์มาได้ แต่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมในหลายพื้นที่ ทำให้มีแนวโน้มพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 เพิ่มขึ้น ประกอบกับข้อมูลทางระบาดวิทยาคาดการณ์ว่า โรคโควิด 19 และไข้หวัดใหญ่จะแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นในฤดูฝน ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้นจะมีความเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิตได้ จึงขอเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายตามเกณฑ์เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีนโควิด 19 เป็นวัคซีนประจำปี เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต ส่งผลดีทั้งต่อสุขภาพของตนเอง ป้องกันคนในชุมชน รวมถึงเป็นการรักษาระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิดพร้อมกันได้ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะห่าง ทำให้สะดวกต่อการมารับบริการในครั้งเดียว
"ขอให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และประชาชนกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้มีโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์ และกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ตามเกณฑ์ เข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และกลุ่ม 608 เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ก่อนเข้าฤดูฝน ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนทั้ง 2 ชนิด มีความปลอดภัยสูง การศึกษาวิจัยของต่างประเทศไม่พบผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นจากการฉีดพร้อมกัน ซึ่งหลายประเทศในยุโรป อาทิ สหราชอาณาจักร ดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้กลุ่มเสี่ยงมารับวัคซีนทั้ง 2 ชนิด สธ.จึงจัดกิจกรรมดังกล่าว กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และเข้ารับวัคซีนทั้ง 2 ชนิดก่อนเข้าสู่ฤดูฝน สามารถเข้ารับได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน ได้จัดเตรียมวัคซีนโควิด 19 ไว้อย่างเพียงพอ ส่วนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สธ.หวังให้กลุ่มเสี่ยงได้รับการฉีดครอบคลุมมากขึ้น จึงปรับลดค่าบริการฉีดวัคซีนจาก 60 บาทเหลือ 20 บาทต่อครั้ง เพื่อให้ สปสช.นำเงินค่าบริการส่วนนี้ไปปรับเป็นงบประมาณจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มเติม ช่วยประหยัดงบประมาณ โดยเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา บอร์ด สปสช.มีมติเห็นชอบจัดซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพิ่มอีก 8.6 แสนโดส รวมกับวัคซีนที่ สปสช. จัดซื้อสำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยงปีนี้ 4.4 ล้านโดส จะมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้บริการ 5.26 ล้านโดส
ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า ในปีนี้ สธ.มีนโยบายเร่งรัดติดตามให้กลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัยได้รับวัคซีนครบถ้วนตามเกณฑ์ เพื่อยกระดับภูมิคุ้มกันหมู่ของประเทศให้สูงเพียงพอต่อการป้องกันโรค โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูงต่อภาวะป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด ที่คาดว่าจะมีการระบาดเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝน การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทั้ง 2 โรคควบคู่กันจึงเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่จะช่วยปกป้องกลุ่มเสี่ยงและคนรอบข้างได้ กิจกรรมในวันนี้จึงเน้นการสื่อสารภายใต้กรอบแนวคิด “วัคซีนคู่ สู้หน้าฝน” เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงตระหนักและมารับวัคซีนทั้ง 2 ชนิด ช่วยลดความรุนแรงและลดเสียชีวิต
เมื่อถามถึงความครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงที่จะรับวัคซีนคู่ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กลุ่มเสี่ยงทุกสิทธิการรักษาสามารถรับได้ทุกคน โดยวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะเป็นไปตามกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ส่วนโควิดทุกคนสามารถมารับได้
ถามว่ากลุ่มเสี่ยงที่จะรับวัคซีนคู่มีประมาณกี่คน นายอนุทินกล่าวว่า เราเตรียม 5.26 ล้านโดส สำหรับกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ ปีหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 5 ล้านคน เมื่อถามย้ำว่าโดยหลักต้องการให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นหลักก่อนแต่สามารถฉีดควบคู่วัคซีนโควิด นายอนุทินกล่าวว่า นัยยะเป็นเช่นนั้น ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงสามารถรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ทุกปีอยู่แล้ว แต่เราอยากให้รับวัคซีนโควิดด้วย จึงให้ฝ่ายวิชาการศึกษาและให้คำแนะนำมาว่า ถ้ากลุ่มเสี่ยงมารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ก็ควรรับวัคซีนโควิดในวันและเวลาเดียวกันเป็น 2 เข็ม ทำได้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิผลประสิทธิภาพ โดยกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่และโควิดใกล้เคียง
ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 10 คนและมีการพบผู้เสียชีวิตตามบ้าน ว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิต 10 คน มี 6 คนเป็นผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว และเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดเป็นครั้งแรก อีก 4 คนเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนนานแล้วยังไม่ได้รับเข็มกระตุ้น จึงมีโอกาสที่จะป่วยหนักได้ ดังนั้นการรับวัคซีนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุรวมทั้งกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว ที่จะช่วยลดอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ การพบผู้เสียชีวิตตามบ้านแสดงให้เห็นว่าเรายังมีปัญหานี้ซ่อนอยู่ สิ่งที่จะทำได้คือ การให้ อสม.เคาะประตูบ้าน สำรวจและชวนมารับวัคซีน หรือนำวัคซีนไปฉีดที่บ้าน ทั้งนี้ สายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าจะมีความรุนแรงลดลง และไม่รุนแรง แต่ไม่รุนแรงสำหรับคนที่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนหรือเคยติดเชื้อมาก่อน ไม่ใช่สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งมีกว่า 2 ล้านคนที่ยังไม่เคยรับวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว ส่วนที่ต้องรณรงค์ฉีดวัคซีนคู่ เพราะสถานการณ์การระบาดน่าจะสูงขึ้นในช่วงฤดูฝนไปจนถึงช่วง ส.ค.-ก.ย. เราก็ต้องรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนก่อน ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงและเสียชีวิตลงได้ จากที่เคยฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาทุกปีก็ช่วยให้ความรุนแรงของโรคลดลง อย่างที่เห็นชัดเจนคือในเรือนจำ ที่อยู่กันจำนวนมาก มีการป่วยเยอะ ทำให้เห็นชัดเจนว่าช่วยลดความรุนแรงได้
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สำหรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีที่ผ่านมา สปสช.จัดซื้อ 4.5 ล้านโดส ที่เหลือจะจัดบริการให้ทหารเกณฑ์ และกลุ่มต่างๆ ที่ต้องการอยู่แล้ว ส่วนปีนี้ซื้อมา 4.4 ล้านโดส และล่าสุดจัดซื้อเพิ่มอีก 8.6 แสนโดส รวมเป็น 5.26 ล้านโดส ซึ่งกรณีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กลุ่มเสี่ยงนั้น จะฉีดได้ทุกสิทธิการรักษา ส่วนเรื่องเงินเป็นเรื่องการบริหารจัดการของภาครัฐ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงไม่ได้รับผลกระทบอะไร สามารถขอเข้ารับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ และยังสามารถรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ได้ด้วยเช่นกัน หากฉีดมานานเกินกำหนดแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะเพียงพอกับกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ นพ.จเด็จ กล่าวว่า จริงๆไม่เพียงพอ แต่เมื่อมองถึงศักยภาพของการฉีด และการกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัวมา แต่อย่างที่กล่าวในปีที่ผ่านมาการมาฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 95% ซึ่งหากมีมากขึ้นก็พร้อมพิจารณาเพิ่มเติมได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ที่ได้รับสิทธิในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ 1) หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป 2) เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี 3) ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน 4) บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป 5) โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) 6) โรคอ้วน (น้ำหนัก > 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร) และ7) ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ทั้งนี้กรณีหญิงตั้งครรภ์นั้นมีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้บริการตลอดทั้งปี ทั้งนี้ แม้จะมีการรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนคู่ แต่หากไม่สะดวกก้สามารถเลือกฉีดวัคซีนตัวใดตัวหนึ่งได้