รพ.นพรัตนฯ ออกประกาศชี้แจงข้อเท็จจริง ปมแม่โวยขอลูกติดโควิดไข้ขึ้นสูง ลัดคิวตรวจก่อน แต่หมอให้รับบริการตามคิว และรอบริเวณจุดที่จัดไว้ เพื่อแยกโรคป้องกันการติดต่อ เผยติดต่อให้ลบคลิปแล้ว
จากกรณีแม่พาลูกชายไข้ขึ้นสูง ติดโควิดเข้ารักษา รพ.นพรัตนราชธานี แต่รอคิวนานจนทนไม่ไหว ต้องบุกเข้าห้องหมอขอลัดคิวตรวจคนไข้อื่นก่อน แต่หมอขอให้รอคิว จึงอัดคลิปโวยจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียมีเดีย
เมื่อวันที่ 2 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รพ.นพรัตนราชธานี ออกประกาศเรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการเผยแพร่คลิปการให้บริการของ รพ.ในสื่อสังคมออนไลน์ ระบุว่า ตามที่มีการโพสต์ถึงการให้บริการผู้ป่วยในสื่อสังคมออนไลน์ และก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนบางประการ นั้น รพ.นพรัตนราชธานี ขอชี้แจงข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2566 เวลา 19.59 น. ผู้รับบริการท่านหนึ่งพาสามีและบุตรชาย อายุ 1 ปี 7 เดือน ที่ป่วยเป็นโควิด 19 มาตรวจนอกเวลาราชการ แต่เนื่องจากไม่มีอาการเข้าข่ายวิกฤตฉุกเฉิน จึงได้มาตรวจที่ห้องตรวจโรคทั่วไปนอกเวลา เมื่อมาถึงห้องตรวจโรคทั่วไปนอกเวลา ซึ่งมีผู้ป่วยรอรับบริการอยู่เป็นจำนวนมาก มารดากังวลใจจะขอรับบริการก่อนผู้ป่วยท่านอื่น แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต และให้ไปรอตรวจ ณ บริเวณที่จัดไว้สำหรับผู้ป่วยโควิด 19 โดยเฉพาะ เพื่อเป็นการแยกโรคและป้องกันการติดต่อ แพร่กระจายไปยังบุคลากรทางการแพทย์และผู้รับบริการท่านอื่น
เจ้าหน้าที่ได้ให้ข้อมูลตามเกณฑ์การรักษาแล้ว แต่มารดายังร้อนใจ จึงส่งเสียงดังและเข้าไปถ่ายคลิปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตภายในห้องตรวจขณะที่แพทย์กำลังตรวจผู้ป่วยสูงอายุอยู่ ทำให้ญาติของผู้ป่วยสูงอายุไม่พอใจ โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการบริหารจัดการให้สถานการณ์สงบได้ในเวลาต่อมา ซึ่งสถานพยาบาลได้มีการประกาศห้ามถ่ายภาพหรือคลิปวิดีโอ เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น เมื่อออกมานอกห้องตรวจ เจ้าหน้าที่ได้พาเข้ามาในห้องพยาบาล เพื่อให้ทานยาลดไข้ และสอนการเช็ดตัวที่ถูกวิธี โดยเจ้าหน้าที่ช่วยเตรียมอุปกรณ์ให้ แต่มารดาของผู้ป่วยเด็กก็เรียกสามีที่ติดโควิด 19 ซึ่งรออยู่ด้านนอกให้เข้ามาเช็ดตัวลูกแทน เมื่อสถานการณ์สงบลง แพทย์ได้จ่ายยาและให้กลับบ้าน
ในวันที่ 1 พ.ค.2566 ทาง รพ.ติดต่อไปพูดคุยและปรับความเข้าใจ พร้อมให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งทางผู้โพสต์คลิปมีความเข้าใจและยินดีลบคลิปดังกล่าวออกไปแล้ว ทั้งนี้ รพ.นพรัตนราชธานี เข้าใจ เห็นใจ และยังคงมุ่งมั่นพร้อมที่จะให้บริการประชาชนทุกคน ตามมาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์อย่างเท่าเทียม