เปิด 5 จังหวัดป่วย "โรคหัด" สูงสุด กลุ่มเด็กแรกเกิดถึง 4 ปี อัตราป่วยสูงสุด 35% ไม่พบระบาดกลุ่มก้อน คาดสัปดาห์นี้พบป่วยเพิ่มได้ อาการคล้ายหวัด มีไข้ ไอแห้ง น้ำมูก ตาแดง และมีผื่นขึ้น ย้ำพาบุตรหลานรับวัคซีน
เมื่อวันที่ 25 เม.ย. กรมควบคุมโรค เผยแพร่พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์ ประจำสัปดาห์ที่ 16 วันที่ 23 – 29 เม.ย. 2566 ว่า สถานการณ์โรคหัดในไทยปี 2565 มีรายงานผู้ป่วยโรคหัด 230 ราย และปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 19 เม.ย. 2566 มีผู้ป่วยโรคหัด 79 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 0.12 ต่อแสนประชากร ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต อัตราป่วยสูงสุด ได้แก่ กลุ่มอายุแรกเกิด - 4 ปี 35.44 % กลุ่มอายุ 25-34 ปี 18.99 % และกลุ่มอายุ 35-44 ปี 16.46 % ตามลำดับ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ยโสธร ภูเก็ต ยะลา นราธิวาส และ กทม. ไม่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน แต่พบว่ามีการรายงานโรคหัดในต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ป่วยมีประวัติเดินทางกลับจากไทย 2 ราย
การพยากรณ์โรคฯ สัปดาห์นี้ คาดว่าช่วงนี้จะมีโอกาสพบผู้ป่วยโรคหัดได้ เนื่องจากโรคหัดติดต่อผ่านทางเดินหายใจ โดยผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด คือ มีไข้ ไอแห้งๆ มีน้ำมูก และตาแดง หลังจากมีไข้ประมาณ 3–4 วัน จะเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้นที่ใบหน้า แล้วค่อยลามไปแขนและขา เมื่อผื่นขึ้นประมาณ 1-2 วัน ไข้จะเริ่มลดลง โดยผู้ป่วยบางรายสามารถพบภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้
โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด (MMR) ตั้งแต่วัยเด็ก แนะนำให้ฉีด 2 เข็ม เข็มแรกเมื่ออายุ 9 – 12 เดือน และเข็มที่สองตอนอายุ 2 ปีครึ่ง จึงมักเกิดการระบาดในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่า 95% ขอแนะนำประชาชนพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อมีอาการไข้ ไอ และผื่นขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการวินิจฉัยยืนยันโรคหัด ควรหยุดเรียนหรือหยุดงาน 4 วันหลังจากผื่นขึ้น ส่วนสถานที่ที่มีผู้อาศัยอยู่แออัด เช่น เรือนจำ ค่ายทหาร ควรคัดกรองและแยกพื้นที่สำหรับผู้ป่วยโรคหัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค