หากวันนี้คุณรู้สึกว่าไม่รู้ว่าวันนี้จะตื่นมาทำไม ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตเริ่มตรงไหนดี ไปต่อที่ไหน และว้าเหว่เหมือนไม่มีใครเข้าใจ
หรือนักเรียนหลาย ๆ คน ที่กำลังรู้สึกว่า เป้าหมายที่อยากได้มันดูสูง กลัวจังว่าจะทำไม่ได้ ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ถึงทำให้เราสำเร็จในการเรียนสอบได้คณะที่อยากเรียน
อาจเป็นได้ว่า วันนี้คุณยังตั้งเป้าหมายชีวิตไม่ดีพอ หรือไม่รัดกุมพอ ซึ่งเป้าหมายที่ตั้งควรเริ่มจากตัวคุณเอง ไม่ใช่ให้ใครมาสั่งหรือบังคับ
จริง ๆ แล้วมนุษย์ทุกคน มีสิ่งดี ๆ ในตัวเองมากเพียงพอ ที่จะสร้างความฝันใหญ่ ๆ ของเราให้เป็นจริง ส่วนความฝันที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วง ว่าเราจะไปเพ้อเจ้อกับสิ่งนั้น เพราะโดยกลไกธรรมชาติ เมื่อมนุษย์รู้สึกว่าสิ่งนั้น ขัด หรือย้อนแย้งความศักยภาพมาก ๆ เข้า เราจะไม่ฝันอยากได้สิ่งนั้นเอง
นี่คืองานวิจัยของ อาจารย์ Gabriele Oettingen ที่ทำงานวิจัยในเรื่อง Rethinking Positive Thinking ซึ่งได้ให้แง่คิดในการวางแผนเป้าหมายในชีวิตได้ดีมาก โดยเรียกสูตรนี้ว่า WOOP โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. Wish ตั้งเป้าหมายถึงสิ่งที่เราอยากได้ เราเองเท่านั้นที่จะตอบได้ ว่าเป้าหมายของการเกิดมาเป็นเราคืออะไร และเราเองเท่านั้นที่จะสามารถบังคับตัวเองได้ แต่ทั้งนี้เราก็ควรอ่อนโยนกับตัวเอง โดยทำความเข้าใจตัวเอง และประสบความสำเร็จใน version ที่ดีที่สุดของตัวเอง
2. Outcome ถ้าเราได้สิ่งนั้นแล้ว ผลที่ได้คืออะไร เช่น เราจะมีรายได้มากขึ้น เป็นที่ยอมรับมากขึ้น แล้วมันส่งผลดีอะไรต่อเราอีก หรือสุขภาพดีขึ้นเราจะลดค่าใช้จ่ายในการไปหาหมอทุกเดือนๆ
3. Obstacle คือ อุปสรรค นิสัยแย่ ๆ ที่อาจทำขัดขวางความสำเร็จ เช่น เราเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง ชอบนำคำพูดของคนอื่นมาคิดวน ๆ การประเมินอุปสรรคล่วงหน้าจะทำให้เราวางแผนตั้งรับได้ดีขึ้น
4. Plan วางแผน โดยคิดควบคู่กับอุปสรรคที่เป็นนิสัยเสียของเรา ตั้งรับไว้ก่อน โดยคิดว่า ถ้างั้น...
ยกตัวอย่างเช่น เราอยากออกกำลังกาย เพื่อหุ่นที่ดีขึ้น พร้อมกับการอ่านหนังสือสอบ ถ้าทำได้เราจะได้เรียนในสิ่งที่เราอยากเรียนและมีงานที่เราอยากได้ อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เราอยากอยู่ และไม่เสียสุขภาพ แต่เราเป็นคนขี้เกียจ ท้อง่าย ถ้างั้น เราลองทำตารางเวลาให้ชัดเจน ถึงการตื่นนอน ออกกำลังกายง่ายๆที่บ้าน และอ่านหนังสือที่บ้าน จะได้ไม่เสียเวลาไปทำในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเป้าหมาย เช่น การนั่งไถอ่านหน้าจอมือถือถึงชีวิตคนอื่น แล้วเก็บเอามาคิด เราก็ลดเวลาตรงนั้นไป เพราะดูไปก็ไม่สร้างประโยชน์กับเรา
จุดอ่อน จุดแข็งของเราบางอย่างเราเอง ก็อาจไม่รู้ ต้องใช้เวลาเรียนรู้ตัวเองให้มาก ๆ และบางอย่างคนที่ไม่รู้จักเราดีพอ ก็อาจประเมินเราผิด ๆ โดยที่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่เสียเวลามาเรียนรู้ตัวเรา หรือบางที หากเจอกับคำพูดแย่ ๆ ของคนอื่น ลองมาตรึกตรอง ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็แก้ไข ถ้าไม่ใช่ก็ปล่อยผ่าน
เราอาจมองว่า คนนั้น คนนี้ ทำไมประสบความสำเร็จมากจัง ทั้ง ๆ ที่เค้าดูไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น เลยสรุปไปว่า เค้าเกิดมาดวงดี หรือมีวาสนา
ก็อาจจะจริงในเรื่องวาสนา เพราะมันมีรายละเอียดเล็ก ๆ ที่เค้าเหล่านั้นได้สู้ทน ฟันฝ่าอย่างเงียบๆ โดยที่คุณไม่ได้ไปมีส่วนร่วมในทุกข์สุขระหว่างนั้นก็เป็นได้ ดังนั้นการเสียเวลา นั่งห่วงหาอาทร กับวาสนา เป็นการเสียเวลาเดินทางของชีวิตมาก
เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน มาจากตัวตน และความเป็นเรา ที่สุดเราก็พัฒนาไป เดินไปให้สุดทางใน Best Version ของเรา
“Weeds are flowers, too, once you get to know them.”--Winnie the Pooh (A.A Milne)
ครูฮ้วง
--------------------------
ครูฮ้วง-เสาวลักษณ์ ลี้รุ่งเรืองพร เจ้าของสถาบัน Campus Genius Center ผู้สอนหลักสูตรติวเข้มเพื่อการสอบ SAT ด้วยแนวคิดแบบ Critical Thinking ที่ช่วยให้นักเรียนสามารถยื่นคะแนนเข้าเรียน และประสบความสำเร็จในการเรียนคณะอินเตอร์ทั้งในและต่างประเทศ