เดือนกว่าเจอป่วย "ไข้เลือดออก" 2,683 ราย ภารกลางพบมากสุด ตามด้วย กทม. แนวโน้มป่วยสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 5 เท่า คาดสัปดาห์นี้พบผู้ป่วยเพิ่มอีก เตือนเก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บแหล่งน้ำ มีอาการไข้สูงนาน 2 วัน รีบพบแพทย์
เมื่อวันที่ 12 ก.พ. กรมควบคุมโรคเผยแพร่ “พยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์" วันที่ 12 – 18 ก.พ. 2566 ว่า จากการเฝ้าระวังสถานการณ์โรคไข้เลือดออก ในปี 2566 (1 ม.ค.- 1 ก.พ.) พบผู้ป่วย 2,683 ราย อัตราป่วย 4.05 ประชากรแสนคน เสียชีวิต 1 ราย กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด 3 อันดับ คือ 5-14 ปี (11.63%) 15-24 ปี (7.32%) 0-4 ปี (5.23%) ตามลำดับ พื้นที่ที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ ภาคกลาง 996 ราย (15.87%) กรุงเทพฯ 649 ราย (11.68%) ภาคใต้ 625 ราย (6.59%) ภาคเหนือ 296 ราย (2.40%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 117 ราย (0.54%) จำนวนผู้ป่วยในช่วงนี้ มากกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันถึง 5 เท่า สัดส่วนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำแนกตามกลุ่มอาการ แบ่งเป็นกลุ่มอาการไข้เด็งกี 69.8%, ไข้เลือดออก 29.1% และ ไข้เลือดออกที่ช็อก 1.1%
การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพสัปดาห์นี้ คาดว่ามีแนวโน้มพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา สัปดาห์นี้พบว่า สภาพอากาศของประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย และฝนตกหนักในบางพื้นที่ ทำให้ภาชนะต่างๆ หรือเศษขยะ มีนำฝนท่วมขังอยู่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น จะทำให้ยุงลายตัวเต็มวัยออกหากินในช่วงกลางคืนมากขึ้น
ขอแนะนำประชาชน ป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด ด้วยการนอนในมุ้ง อยู่ในห้องติดมุ้งลวด ใส่เสื้อผ้ามิดชิด ทาโลชั่นกันยุง ใช้ยาจุดกันยุง และป้องกันไม่ให้ยุงเกิด ด้วยหลัก 3 เก็บ ได้แก่ เก็บบ้านให้ปลอดโปร่ง เก็บขยะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ และเก็บแหล่งน้ำ ไม่ให้ยุงลายวางไข่ นอกจากนี้ ควรสังเกตอาการของตนเองและคนในครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไข้นานเกินกว่า 2 วัน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร หน้าตาแดง อาจมีผื่นขึ้นที่ผิวหนังตามแขน ขาข้อพับ ให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ย้ำว่าไม่ซื้อยากินเอง เนื่องจากยาลดไข้บางประเภทอาจทำให้มีอาการรุนแรงและเลือดออกมากขึ้น รักษายากขึ้นจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ สำหรับร้านขายยาและคลินิก ควรแนะนำให้ผู้ป่วยสงสัยโรคไข้เลือดออก ให้ไปรักษาที่ รพ.