อึ้ง!! วัยทำงานเสี่ยงฆ่าตัวตายสูง สสส.-กรมสุขภาพจิต ปั้น HR ใน 23 สถานประกอบการนำร่อง เป็นนักสร้างสุขลดทุกข์ ลดภาวะเครียด-ปัญหาฆ่าตัวตาย เร่งถอดบทเรียนขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศ คาดกฎกระทรวงแรงงานใหม่ กำหนดให้ตรวจสุขภาพจิตประจำปี มีผลบังคับใช้ในปีนี้
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กรมสุขภาพจิต ลงพื้นที่ติดตามโครงการ “สร้างเสริมศักยภาพของเจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคลในการส่งเสริมสุขภาพจิตของแรงงานในสถานประกอบกิจการ” ณ บริษัทเอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด จ.พระนครศรีอยุธยา และ โรงแรมเคนซิงตัน อิงลิซ การ์เด้น รีสอร์ท เขาใหญ่ โดย นายชาติวุฒิ วังวล ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า วัยทำงานเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ 2 ใน 3 ของประเทศ มีแรงงานในสถานประกอบการกว่า 15 ล้านคน การแพร่ระบาดของโควิด 19 ส่งผลให้วัยแรงงานได้รับผลกระทบต่อสถานภาพทางเศรษฐกิจและจิตใจ ทั้งจากการงาน หนี้สิน มีความเครียด วิตกกังวล เหนื่อยล้าทางอารมณ์ รู้สึกหมดหวัง หมดพลังชีวิต เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยด้วยโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า นำไปสู่การฆ่าตัวตาย โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ในปี 2565 พบอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จในวัยทำงาน 9.43 ต่อแสนประชากร (3,650 คน) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ส่วนอัตราการพยายามฆ่าตัวตายในวัยทำงานอยู่ที่ 45.24 ต่อแสนประชากร (17,499 คน) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเล็กน้อย
นางเดือนเพ็ญ ชาญณรงค์ ผอ.ศูนย์สุขภาพจิตที่ 3 กล่าวว่า ศูนย์สุขภาพจิต ร่วมกับ สสส. สานพลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย ศูนย์สุขภาพจิต และคณะอนุกรรมการสุขภาพจิตจังหวัด ดำเนินการโครงการ “สร้างเสริมศักยภาพของเจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคลในการส่งเสริมสุขภาพจิตของแรงงานในสถานประกอบกิจการ” ให้เจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคลสามารถให้คำปรึกษาสุขภาพแบบองค์รวม (กาย ใจ การเงิน) แก่แรงงาน เพื่อจัดการความเครียด มีสุขภาพจิตดี มีความเข้มแข็งทางจิตใจ มีพลังความหวังที่จะฝ่าข้ามวิกฤตได้ และส่งต่อความรู้ให้ครอบครัว ชุมชน อีกทั้งยังเพิ่มผลิตภาพให้สถานประกอบการและประเทศด้วย ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคลได้รับการอบรมหลักสูตรเจ้าหน้าที่ จากสถานประกอบกิจการ 23 แห่งใน 8 เขตสุขภาพ รวมพนักงานกว่า 26.000 คน มีการจัดกิจกรรมสร้างสุขวัยทำงานและมีพนักงานเข้าร่วมแล้ว 2,110 คน คาดหวังให้เกิดรูปแบบการดำเนินการในสถานประกอบการนำร่อง ไปขยายผลในสถานประกอบการอื่นต่อไป
น.ส.กนกอร สุวรรณนิคม บริษัทเอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด ผู้ประสานงานโครงการฯ กล่าวว่า บริษัทฯ มีพนักงานกว่า 14,000 คน มีภาวะความเครียดจากหลายปัจจัย อาทิ ยอดการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น สถานการณ์โควิด-19 ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเงิน หลังเข้าร่วมโครงการฯ ได้จัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานเรื่องการดูแลสุขภาพกาย การจัดการอารมณ์และความเครียด และการจัดการหนี้สินส่วนบุคคลไปแล้ว 2 รุ่น รวมพนักงานที่เข้าร่วมโครงการฯ 100 คน มีการตรวจวัด BMI, ประเมินสุขภาพใจ และประเมินสุขภาพการเงิน พบพนักงานมีปัญหาน้ำหนักเกินกว่า 50% มีภาวะเครียด 46% โดย 22% เสี่ยงซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย และยังพบพนักงานมีปัญหาด้านหนี้สิน การเงินอ่อนแอ 10% โครงการนี้ ดูแลสุขภาพใจพนักงานทุกคนผ่านการประเมินสุขภาพใจ และให้คำปรึกษาในเบื้องต้น ประสานงาน ส่งต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้พนักงานได้เข้าถึงการรักษาด้านสุขภาพจิตอย่างทันท่วงที ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พลังกาย พลังใจ รวมทั้งมีความรู้ในการจัดการเงินและหนี้สิน และพนักงานยังส่งต่อความรู้ ความเข้าใจไปยังครอบครัวและบุคคลอื่นอีกด้วย
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการสุขภาพจิต ครั้งล่าสุด มีมติเรื่องสุขภาพจิตในสถานประกอบการ 2 ประเด็น 1.แก้กฎกระทรวงแรงงาน กำหนดให้จัดการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสวัสดิการ โดยตัดคำว่า “ทางเลือก” ออก เพื่อให้สถานประกอบการทุกแห่งทุกขนาด ต้องดำเนินการตามกฎ เนื่องจากปัจจุบันมีการตรวจสุขภาพประจำปีเฉพาะในสถานประกอบการขนาดใหญ่ ส่วนขนาดกลางและขนาดเล็ก ไม่ค่อยดำเนินการเรื่องนี้มากนัก 2.กำหนดให้การตรวจสุขภาพประจำปี ต้องครอบคลุมเรื่องสุขภาพจิตด้วย เพราะที่ผ่านมาตรวจเฉพาะสุขภาพกายเท่านั้น และเพื่อป้องกันปัญหาเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้สถานประกอบการ กรมสุขภาพจิตได้พัฒนาโปรแกรม MENTAL HEALTH CHECK IN ตรวจเช็คสุขภาพใจ สำหรับสถานประกอบการผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 2 โปรแกรม 1.โปรแกรมมาตรฐาน จัดการ 3 ปัญหาสุขภาพจิตของแรงงาน การเงิน ความเครียด และสัมพันธภาพ 2.โปรแกรมเชิงวิสัยทัศน์ มุ่งพัฒนาให้บุคลากรมีความสุขจากภายใน โดยคาดว่ากฎกระทรวงแรงงานฉบับใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้