จักษุแพทย์เผยอาการ "ตาบอดกลางคืน" ทำมองเห็นไม่ชัดในที่แสงสลัว ตอนกลางคืน หรือช่วงเข้าอาคารเปลี่ยนจากที่แสงจ้ามาสลัว เหตุเซลล์แท่งริมจอตาสูญเสีย ถูกทำลาย มาจากหลายสาเหตุ เริ่มแรกจะเริ่มจากลานสายตาส่วนริม รุนแรงขึ้นจะเหลือลานสายตาแคบมาก รักษาไม่หาย ได้แค่ช่วยชะลอ
เมื่อวันที่ 20 ม.ค. นพ.อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผอ.รพ.เมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง) กล่าวว่า ภาวะตาบอดกลางคืน หรือปัญหาการมองเห็นในที่มืด แสงสลัว จะพบว่าผู้ป่วยจะมีความลำบากในการทำกิจวัตรในที่แสงมืดหรือสลัว ต้องใช้เวลาปรับตัวในการเข้าในที่มืดนานกว่าปกติ ลักษณะอาการผู้ที่มีอาการตาบอดกลางคืน จะพบปัญหาการมองในสถานที่ที่มีแสงสลัว หรือที่มีแสงสว่างน้อย โดยมักจะเกิดอาการขณะที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนการมองจากที่ที่มีแสงสว่างมากไปยังแสงสลัว เช่น การเดินจากภายนอกอาคารเข้ามาในตัวอาคาร การเข้าชมภาพยนต์ หรือขับรถตอนกลางคืนที่มีแสงสว่างไม่สม่ำเสมอ อาการตาบอดกลางคืนถือเป็นอาการสำคัญของโรคที่อาจทำให้มีความเสี่ยงเรื่องการขับรถในเวลากลางคืน ควรหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
นพ.เอกชัย อารยางกูร จักษุแพทย์ หัวหน้าศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุ รพ.วัดไร่ขิง กล่าวว่า ตาบอดกลางคืน (Night blindness) ไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการที่มองเห็นไม่ชัดในที่แสงสลัว หรือในเวลากลางคืน พบได้ในโรคของจอตาหลายโรค ทั้งนี้ ในคนปกติจอตาจะมีเซลล์รับรู้การเห็น 2 ชนิด คือ 1.Rod (เซลล์รูปแท่ง) กระจายอยู่ทั่ว แต่จะมีปริมาณมากบริเวณริมจอตา ทำหน้าที่ในการมองเห็นในที่แสงสลัว และ 2.Cone (เซลล์รูปโคน) กระจุกตัวอยู่บริเวณจอตาส่วนตรงกลาง โดยเฉพาะจุดภาพชัด ทำหน้าที่มองเห็นตรงกลางและที่มีแสงสว่าง หากมีความผิดปกติของจอตาส่วนอยู่ตรงกลาง จุดภาพชัด ความชัดเจนลดลง ร่วมกับการเห็นสีที่เปลี่ยนไป แต่ถ้ามีความผิดปกติบริเวณริมจอตา มีการทำลายหรือสูญเสีย หรือมีการตายของ Rod จะทำให้ตามัวลงเวลากลางคืนหรือที่มีแสงสลัว เรียกว่า ตาบอดกลางคืน
ภาวะสูญเสียหน้าที่หรือการตายของ Rod พบได้ในหลายโรค เช่น การขาดวิตามินเอที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น ขาดสังกะสี มีปัญหาสายตา อย่างสายตาสั้น ต้อกระจก ต้อหิน เบาหวานขึ้นตา หรืออาจจะเกิดการผิดปกติที่จอประสาทตา ความบกพร่องทางพันธุกรรม เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ หรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาต้อหินบางชนิดที่ทำให้รูม่านตาหดตัวลง ยาในกลุ่มโคลิเนอร์จิก เอเจนท์ หรือภาวะสายตาสั้นมาก อาจแก้ไขโดยการใช้เลนส์ปรับค่าสายตา
"อาการตาบอดกลางคืนในระยะแรกจะมีการสูญเสียลานสายตาส่วนริม และเมื่อโรคมีความรุนแรงมากขึ้น จะเริ่มสูญเสียลานสายตาส่วนกลางจนกระทั่งเหลือลานสายตาที่แคบมาก และจะมีการสูญเสียความสามารถในการปรับตัวในการมองเห็นในที่มืด" นพ.เอกชัยกล่าว
นพ.เอกชัยกล่าวว่า วิธีการรักษานั้นจะใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อทำการยืนยันการวินิจฉัยโรคที่เป็นมาตรฐาน คือ ทำการ electroretinography (ERG) ซึ่งจากการตรวจด้วยวิธีดังกล่าวจะพบว่า มีการลดลงหรือสูญเสีย amplitude ของ waveform ทั้งที่มาจาก rod และ cone cell แม้ว่ายังพอสามารถมองเห็นได้ก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคให้หายขาดได้ จักษุแพทย์จะให้คำแนะนำเรื่องการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของโรคและการรักษาแบบประคับประคองหรือส่งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาเลือนราง เพื่อให้ใช้สายตาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดได้ และผ่าตัดฝังจอประสาทตาเทียม ก็จะทำให้มีระดับการมองเห็นเพียงพอที่จะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้น ควรตรวจติดตามกับจักษุแพทย์ เพื่อประเมินภาวะสายตาอย่างสม่ำเสมอ
การป้องกันตาบอดกลางคืน บางสาเหตุป้องกันได้ เช่น ขาดวิตามินเอ โดยกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนทุกมื้ออาหาร เช่น น้ำมันตับปลา เครื่องในสัตว์ ไข่แดง แครอท บร็อคโคลี่ ฟักทอง หรือกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว ขาดสังกะสี ดังนั้นจึงต้องกินสังกะสีให้เพียงพอ ซึ่งหาได้จากการกินถั่วเปลือกแข็ง เนื้อวัว หรือสัตว์ปีก แต่บางสาเหตุ เช่น จากกรรมพันธุ์ป้องกันไม่ได้ แต่การพบจักษุแพทย์แต่เนิ่นๆ แพทย์จะมีวิธีรักษาที่อาจช่วยชะลอการเสื่อมของจอตา การพบจักษุแพทย์ยังช่วยวินิจฉัยโรคร่วมที่ทำให้การมองเห็นลดลง และรักษาควบคู่กันไป เช่น ต้อกระจก ซึ่งยังพบได้ในผู้ป่วย RP (Retinitis Pigmentosa) เป็นต้น