กรมควบคุมโรคเร่งหารือทั้งสุขภาพจิต อนามัยแม่และเด็ก และผู้เชี่ยวชาญ ปมถอดมาสก์กลุ่มเด็กเล็ก ประถมต้น หวั่นกระทบพัฒนาการ สุขภาพจิต แนะกลุ่ม 608 ควรฉีดกระตุ้นปีละ 2 เข็ม
จากกรณี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีข้อเสนอเด็กเล็กอนุบาล ถึงประถมตอนต้นไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย เพราะส่วนใหญ่ติดโควิดแล้ว 80% และรับวัคซีนแล้ว ติดเชื้ออาการไม่รุนแรงนั้น
เมื่อวันที่ 11 ม.ค. นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ ว่า ประเด็นนี้มีข้อห่วงใยว่า อาจกระทบต่อพัฒนาการ และสุขภาพจิตของเด็กหรือไม่ จึงได้มอบให้ นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และกองโรคติดต่อทั่วไปนัดหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมสุขภาพจิต อนามัยแม่และเด็ก และอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ และหากมีข้อมูลทางวิชาการอย่างไร ก็จะออกเป็นคำแนะนำ
ถามถึงการฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นของประชาชนไทยควรเป็นกี่เข็ม นพ.ธเรศ กล่าวว่า เบื้องต้นคาดการณ์ว่า ลักษณะเชื้อโควิดคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ โดยให้มีการฉีดกระตุ้นปีละ 1 เข็ม แต่ในส่วนของโควิด ยังคงให้ฉีดปีละ 2 เข็ม เน้นฉีดกระตุ้นกลุ่มเสี่ยง กลุ่ม 608 เป็นกลุ่มที่เตรียมวัคซีนให้เพียงพอ โดยให้ 2 เข็มต่อปี อย่างไรก็ตาม ยังเตรียมเผื่อบุคคลทั่วไปที่สนใจ โดยเฉพาะกลุ่มด่านหน้าหรือผู้ประกอบการ ที่รับนักท่องเที่ยวจำนวนมากก็มีเตรียมให้เช่นกัน
เมื่อถามถึง ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา บอกว่าคนทั่วไปไม่ควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเกิน 3- 4 เข็ม เพราะมีงานวิจัยจากสหรัฐว่า มีผลต่อภูมิคุ้มกันระยะยาว นพ.ธเรศ กล่าวว่า จริงๆ การฉีดวัคซีนเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มเสี่ยง แต่คนทั่วไปหากกังวลหรือจำเป็นก็เตรียมไว้ให้ได้เช่นกัน ส่วนเรื่องผลกระทบใดๆ กรมควบคุมโรคมีการติดตาม มีคณะกรรมการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน คณะกรรมการติดตามผลข้างเคียง ขณะนี้ไม่เห็นผลที่ต้องตื่นตระหนก อีกทั้งกลุ่มเสี่ยงแนะนำให้ฉีดวัคซีน ทั้ง 608 หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก หรือกลุ่มที่มีโอกาสสัมผัสสูง บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ทำงานตามแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น ส่วนกลุ่มอื่นๆ ให้ทำตามความสมัครใจ