หมอด้านเอชไอวี สวดยับห้ามคลินิกชุมชน NGO สต็อก-จ่ายยา PrEP และ PEP ถอยหลังเข้าคลอง ทั้งที่เพิ่งโชว์ผลงาน UNAIDS กระทบเป้าหมายยุติเอดส์ใน 8 ปี ชี้ "อนุทิน" ไม่เซ็นงบป้องกันโรคยิ่งซ้ำเติมปัญหา ละเมิดสิทธิสุขภาพ ระวังอาจไม่ได้นั่งนายกฯ
เมื่อวันที่ 9 ม.ค. พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ ผอ.บริหารสถาบันวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (IHRI) กล่าวถึงกรณีมีปัญหาการจ่ายยา PrEP และ PEP ป้องกันการติดเชื้อ HIV ว่า ตอนนี้มีปัญหา 2 เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน คือ 1.การจสต๊อกและจ่ายยา PrEP และ PEP ขององค์กรชุมชนที่อบรมและขึ้นทะเบียนช่วยป้องกันการติดเชื้อแบบ One stop service ซึ่งเดิมสามารถตรวจเลือด ส่งผลตรวจให้แพทย์พิจารณาจ่าย PrEP และ PEP ได้ ทำให้เพิ่มการเข้าถึงยา UNAIDS ที่มาดูงานก็ชื่นชมว่าไทยเป็นต้นแบบเมื่อ ธ.ค. 2565 แต่กลับมีคนไม่เข้าใจร้องเรียนไปยัง สสจ.ชลบุรี พิษณุโลก และสงขลา ให้บุกจับคลินิกเหล่านี้ หาว่าสต็อกยาและจ่ายยาทั้งที่ไม่มีแพทย์หรือพยาบาล ซึ่งหารือกับ นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุว่าให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ออกหนังสือทางการยืนยันว่าทำได้ แต่ สบส.กลับออกหนังสือว่าไม่สามารถทำได้ และวางแนวทางใหม่เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ว่า ต้องสต็อกและจ่ายยา PrEP และ PEP ในสถานพยาบาลรัฐและเภสัชกรในสถานพยาบาลรัฐเท่านั้น องค์กรภาคประชาสังคมที่เคยทำจึงต้องหยุดให้บริการ คิดว่ากรมควบคุมโรคและ สบส.ต้องไปหาทางอย่างเร่งด่วน ว่าออกแนวทางที่ถอยหลังลงคลองได้อย่างไร ถ้าคิดว่าออกมาโดยไม่สมควรก็ต้องแก้ไข ให้ผู้รับบริการได้รับผลกระทบน้อยที่สุด สั้นที่สุด
พญ.นิตยากล่าวว่า 2.กรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการ สธ.ไม่ยอมเซ็นจัดสรรงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP) ปีงบ 2566 ยิ่งซ้ำเติมปัญหาจ่ายยา PrEP และ PEP ไม่ได้ และการตรวจ HIV ที่ไหนก็ได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง จะไม่มีอีก ตรวจได้เฉพาะผู้มีสิทธิบัตรทอง ต้องทำในสถานพยาบาลรัฐเท่านั้น ทั้งที่คนที่มารับบริการที่องค์กรภาคประชาสังคมกว่า 60-70% ไม่ใช่สิทธิบัตรทอง และหนีจากการถูกเลือกปฏิบัติตีตราโดยหน่วยงานภาครัฐ เข้าใจว่าที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายอนุทินแหย่มา แล้วนายอนุทินคงกลัว เพราะหวังผลในการเป็นนายกฯ เลยไม่อยากต้องมาแตะกับเรื่องผิดกฎหมาย
"แต่ทำแบบนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิด้านสุขภาพของประชาชนในการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างชัดเจนและเลวร้ายมาก จะทำให้เป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์ในอีก 8 ปีข้างหน้า ถอยหลังเข้าคลอง น่าอับอายมากๆ ทั้งที่เพิ่งโชว์ชาวโลกไปเพียงเดือนเดียวว่าไทยมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มี PrEP และ PEP โดยองค์กรชุมชน และกลับลำเฉย ถ้าจะทำให้ไม่ได้เป็นนายกฯ ก็เพราะอย่างนี้” พญ.นิตยา กล่าว
พญ.นิตยากล่าวว่า เรื่องนี้เครือข่ายด้าน HIV ดูผลกระทบว่ามีแค่ไหน และจะสื่อให้เห็นปัญหา จากเดิมที่เคยอดทนทำงาน ฝืนทำต่อแม้รู้ว่าเสี่ยงผิดกฎหมาย หากถูกจับไม่มีใครช่วย หรือฝืนทำโดยที่รู้ว่าเราเบิกงบประมาณรัฐไม่ได้ และเราไปตายเอาดาบหน้า หวังว่าจะมีใครเอาเงินทุนมาให้ แต่รอบนี้เราคิดว่าเราจะไม่ฝืนแบบนั้น ไม่เช่นนั้นรัฐจะไม่เคยเป็นปัญหาเลย แล้วเอาประชาชนมาเป็นเครื่องเล่น ว่าเดี๋ยวก็มีคนมาดูแล แล้วเอาตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน ดังนั้นรัฐควรได้รับบทเรียน และเราจะเคลื่อนไหวไม่หยุด ถ้าจะเอาเรื่อง PrEP และ PEP ไปขายเป็นหน้าเป็นตาต่อชาวโลก ทั้งที่ไม่เพียงแต่ไม่สนับสนุนแถมยังขัดขวาง เราคงไม่ยอม และชาวโลกก็ต้องรับทราบเรื่องนี้ ตอนนี้เรามีการคุยภาคีเครือข่ายองค์กรระหว่างประเทศแล้ว ว่าภาพที่เห็นกับสิ่งที่เป็นจริงนั้นไม่ตรงกัน
พญ.นิตยา กล่าวต่อว่า จริงๆ การไม่เซ็นเบิกจ่ายงบ PP กระทบกับประชาชนทั้งระบบ แม้แต่เรื่องผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ต่อไปนี้จะทำอะไรก็ต้องมาดูว่าผู้สูงอายุติดเตียงเป็นสิทธิบัตรทองหรือไม่ จึงจะสามารถเบิกผ้าอ้อมได้ ถ้าคิดถึงประชาชนเป็นศูนย์กลางจริงๆ ควรไปคิดว่าจะมีการปรับปรุงกฎหมายอย่างไรให้ตรงกับสิ่งที่ทำมาเป็นทศวรรษและเกิดผลดีกับประเทศ มากกว่าการที่สั่งให้หยุดทุกอย่างไปก่อน แล้วบอกว่าส่งกฤษฎีกาตีความ ซึ่งไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไร การบอกว่าเอางบที่มีอยู่มาบริหารจัดการก่อนนั้นไม่มีทาง เพราะปีงบ 66 เริ่มแล้ว มีการเบิกจ่ายงบแล้ว อย่างสวิง เบิกสำหรับคนทุกสิทธิประมาณ 10 กว่าล้านบาท แต่ให้เบิกได้เฉพาะสิทธิบัตรทองประมาณ 2 ล้านบาท แล้วที่เหลือติดไว้ก่อน ซึ่งจะมีองค์กรอะไรมีสายป่านนานขนาดนั้น เหมือนก่อนหน้านี้ที่เราเข้ามาช่วยดูแลผู้ป่วยโควิดที่ไม่ใช่คนไทย 2 พันคน ก็บอกว่าติดเงินไว้ก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังติดไว้ก่อน แล้วจะเอาหน้าที่ไหนมาทำให้คนเชื่อถือว่าคุณติดไว้ก่อนแล้วคุณจะคืน แล้วจะคืนเมื่อไร เป็นไปไม่ได้ แล้วมาผลักไปเลยว่าให้ส่งต่อไปหน่วยบริการรัฐหรือ รพ.ตามสิทธิเป็นการพูดแบบไม่รู้ว่าชีวิตจริงของคนเป็นอย่างไร
“เรื่องนี้องค์กรประชาสังคมคงขับเคลื่อนอีก เพราะคิดว่า สปสช.คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ แต่กรมควบคุมโรคและ สบส. ควรลุกมาต่อสู้เพื่อประชาชน เมื่อเห็นอยู่ว่านายอนุทินกำลังทำผิดพลาด ซึ่งเขามาแล้วเขาก็ไป เราโทษเขาไม่ได้ว่าเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาไม่เซ็นอนุมัติ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับระบบสุขภาพ แต่หน้าที่ของคุณคือต้องอธิบายให้เขาเข้าใจ เช่นเดียวกันนายอนุทินหากยังอยากเติบโตทางการเมืองต่อไป แต่กลับแสดงให้เห็นว่าคุณไม่เอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง แต่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทำให้เกิดการขลาดกลัวการทำผิดกฎหมาย ซึ่งจริงๆ แล้วบอร์ดทั้งบอร์ดสามารถแบคอัพได้ หากเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางก็ให้เบิกจ่ายต่อไป กฎหมายค่อยมาคลี่กันว่าจะปรับแก้ตรงไหน” พญ.นิตยา กล่าว