รองปลัด สธ.โต้ "หมอเก่ง" พรรคก้าวไกลปมไม่จัดสรรงบป้องกันโรค กระทบเข้าถึงยาเอชไอวี แจงชะลอเฉพาะส่วนงบนอกสิทธิบัตรทอง 5.1 พันล้านบาท สิทธิบัตรทองยังรับบริการตามปกติ ส่วนนอกสิทธิยังรับบริการตามปกติได้ อาศัยมติ ครม. 20 ปีสนับสนุน จนกว่าจะรอตีความกฎหมายชัด
จากกรณี นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่เซ็นงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค 5,146.05 ล้านบาท ทำให้ประชาชนเข้าถึงยาเอชไอวีลำบาก
เมื่อวันที่ 9 ม.ค. นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ประเด็นดังกล่าวไม่ถูกต้อง สาเหตุที่ยังไม่ได้ลงนามจัดสรร เพราะงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP) เฉพาะส่วนที่นำไปให้บริการประชาชนนอกสิทธิบัตรทอง อาจจะเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย ในช่วงแรกของปีงบประมาณ 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 จึงยังไม่ได้มีการลงนามจัดสรร แต่เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนและหน่วยบริการ บอร์ด สปสช.จึงมีมติเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2565 เห็นชอบประกาศหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารกองทุนฯ ปี 2566 จัดสรรงบผู้ป่วยนอก (OP) ผู้ป่วยใน (IP) และงบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP) เฉพาะสิทธิบัตรทอง ซึ่งเป็นการใช้งบประมาณที่ถูกต้องตามกฎหมายออกมาก่อน ดังนั้น บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรคในส่วนของสิทธิบัตรทองจึงดำเนินการได้ตามปกติ ไม่มีข้อติดขัดใดๆ
สำหรับงบ PP นอกสิทธิบัตรทอง 5,146.05 ล้านบาท ต้องขอให้รอความชัดเจนในการตีความทางกฎหมายจากคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะรัฐมนตรีก่อน โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการ 7x7 ระหว่าง สธ.และ สปสช.ได้ย้ำให้ทุกหน่วยบริการในสังกัด สธ.จัดบริการด้านสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคครอบคลุมประชาชนทุกคนทุกสิทธิตามปกติไปก่อน ส่วนหน่วยบริการนอกสังกัด สปสช.ได้ประสานให้ดำเนินการตามปกติ เพื่อไม่ให้มีช่องว่างหรือส่งผลกระทบในบริการกับประชาชนเช่นเดียวกัน โดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรีตามที่เคยได้ดำเนินการเรื่องนี้มา 20 ปี เป็นข้อสนับสนุน
“ยืนยันว่า ประชาชนหรือผู้รับบริการไม่ว่าจะเป็นสิทธิบัตรทอง ซึ่งไม่มีปัญหาใดในเรื่องนี้ รวมถึงสิทธิข้าราชการและสิทธิประกันสังคมที่อยู่ระหว่างรอความชัดเจนทางกฎหมาย ยังได้รับการดูแลด้านการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคตามมติบอร์ด สปสช.และมติคณะกรรมการ 7x7 โดย สธ.และ สปสช. จะร่วมกันดำเนินการในรายละเอียดและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเข้ารับบริการของประชาชน” นพ.พงศ์เกษมกล่าว