"อนุทิน" ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนไฟลท์บินแรกหลังเปิดประเทศ 269 คน ตลอดวันเข้ามา 15 เที่ยวบิน 3,465 คน คาดทั้งปีเข้ามา 7-10 ล้านคน เผยปรับมาตรการยกเลิกตรวจใบรับรองวัคซีนโควิด เหลือแค่ให้ซื้อประกันสุขภาพหากมาจากประเทศที่ให้ตรวจ RT-PCR ก่อนกลับ ยันไทยพร้อมรับนักท่องเที่ยวทุกชาติ ไม่มีแบ่งแยก มีความพร้อมทั้งสนามบินและ รพ.รองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังต้อนรับนักท่องเที่ยวจากจีนเที่ยวบินแรกหลังจีนเปิดประเทศ ว่า วันนี้ตนพร้อมด้วย รมว.คมนาคมและ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ผู้บริหารทั้ง 3 กระทรวง การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ได้มาร่วมต้อนรับและมาดูสถานการณ์ว่า การเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีนไฟลท์แรกวันนี้เป้นอย่างไร โดยวันนี้มีเที่ยวบินแรกคือ Xiamen Airlines MF833 มีผู้โดยสาร 269 คน โดยวันนี้มีขาเข้าจากจีนจำนวน 15 เที่ยวบิน ผู้โดยสารทั้งสิ้น 3,465 คน คาดการณ์ว่าตลอดปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางผ่านอากาศยาน 7-10 ล้านคน จากเดิมก่อนการมีโรคโควิดเรามี 20 ล้านคน ส่วนผู้เดินทางจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่ดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทย สร้างรายได้เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ ทำให้คนมีงานทำ มีโอกาส ทำให้เศรษฐกิจประเทศฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากเสียหายจากสถานการณ์โควิดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา
"มาตรการรองรับผู้เดินทางจากต่างประเทศปี 2566 เป็นไปตามมาตรการที่สอดคล้องกับมาตรการด้านสาธารณสุขที่มีมาตรฐานของโลก มีความเหมาะสม เน้นให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านสุขภาพตามมาตรฐานของการป้องกันโรคโควิด 19 และมีการอำนวยความสะดวก เตรียมความพร้อมให้บริการนักท่องเที่ยว มั่นใจว่าไทยพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางจากทุกแห่งทั่วโลก โดยใช้ข้อกำหนดเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกจนกว่าจะมีสถานการณ์ที่จำเป็น" นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ได้รับรายงานจากอธิบดีกรมควบคุมโรคว่า วันนี้มีการคณะกรรมการวิชาการ ภภายใต้ พงร.บ.โรติดต่อ พ.ศ. 2558 มีมติว่าให้ยกเลิกมาตรการตรวจใบรับรองวัคซีนโควิดของผู้เดินทางเข้าประเทศ เนื่องจากเห็นว่ามีการฉีดวัคซีนในคนไทยจำนวนมากแล้ว จีนก็ฉีดมากแล้ว ประเทศอื่นๆ ก็ฉีดแล้ว มีภูมิคุ้มกันระดับหนึ่ง หากทุกคนต้องแสดงหลักฐานฉีดวัคซีน จะทำให้เกิดความไม่คล่องตัวไม่สะดวก ซึ่งไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานเศรษฐกิจ แต่ใช้หลักวิชาการทางการแพทย์ เมื่อแจ้งมติมายัง สธ. เราก็ร่วมมือกับ ก.คมนาคมและก.ท่องเที่ยว ชี้แจงออก Notice to Airmen (NOTAM) หรือกฎระเบียบก่อนการเข้าประเทศไทยก็ดำเนินการเรียบร้อย โดยมาตรการเหลือการซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโควิดสำหรับผู้มาจากประเทศที่กำหนดให้ต้องตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางกลับเข้าประเทศ เพื่อว่าหากติดเชื้อจะได้ไม่เป็นภาระงบประมาณ ส่วนเรื่องวงเงินไม่ได้กำหนด เพราะคนซื้อประกันมาคงไม่ได้ซื้อมาเพื่อเข้าประเทศไทยเท่านั้น และที่ผ่านมาไม่เคยเป็นปัญหาเรื่องการเบิกค่ารักษาพยาบาล
"นักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางมายังประเทศไทยจำนวนมาก ไม่ใช่เฉพาะจีน ทุกประเทศในโลกมีการระบาดอยู่ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือ เตรียมตัวเราเองให้พร้อม คนไทยมีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนและติดเชื้อ ยิ่งฉีดอย่างน้อย 4 เข็ม จะไม่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต คนเดินทางเข้ามา ผมมั่นใจว่า ส่วนใหญ่จะต้องได้รับวัคซีนมาระดับหนึ่งถึงกล้าเดินทางออกมานอกประเทศ และปัจจุบันไทยเราประกาศลดระดับโรคโควิด 19 จากโรคติดต่ออันตรายมาเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เราก็เฝ้าระวังตลอดเวลา ส่วนนักท่องเที่ยวที่สมัครใจมารับวัคซีนโควิดที่ไทย จะมีค่าใช้จ่าย ทั้งค่าวัคซีนและค่าบริการ เบื้องต้นขอให้มาใช้ในสถานพยาบาลของรัฐ จากนี้ไป สธ.จะหารือ รพ.เอกชน ว่าถ้านักท่องเที่ยวไปใช้บริการฉีดวัคซีน จะเก็บค่าใช้จ่ายค่าวัคซีนอย่างไร ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้ปลอดภัยมากขึ้น" นายอนุทินกล่าว
นายอนุทินกล่าวว่า ทางวิชาการทางการแพทย์ยืนยันว่า คนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกัน ทั้งคนไทยหรือนักท่องเที่ยวเราสามารถเฝ้าระวังได้ มีเวชภัณฑ์ บุคลากรทางการแพทย์ ยารักษาโรค และวัคซีนดูแลผู้ป่วย ซึ่งอัตราการครองเตียงอยู่ที่ 5% ที่สำคัญตอนนี้คนมีภูมิคุ้มกัน ผู้ติดเชื้อมากกว่า 95%ไม่มีอาการ เรารักษาตามอาการ ปอดไม่อักเสบก็ไม่ต้องให้ยาที่รุนแรง หรือใช้เครื่องช่วยหายใจหรือต้องเข้า รพ. ให้ยาตามอาการยกเว้นโรคพัฒนาไปปานกลางหรือรุนแรง แพทย์จะใช้การรักษาตามความรุนแรงของโรคต่อไป เป็นระเบียบปฏิบัติทางการแพทย์อยู่แล้ว
สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากขึ้น กระทรวงคมนาคมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวทุกท่าอากาศยาน มีขีดสามารถรับผู้โดยสารเพียงพอ เน้นย้ำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สอดคล้องกับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น คำนึงถึงความสะดวก รวดเร็วและความปลอดภัย ปัญหากระเป๋าสัมภาระล่าช้าและการให้บริการรถสาธารณะที่พบมาก่อนหน้านี้ ก.คมนาคมเร่งแก้ปัญหาเร่งด่วนพบว่า เวลาเฉลี่ยในการลำเลียงกระเป๋าจากเครื่องบินถึงผู้โดยสารเฉลี่ย 27 นาทีสำหรับเฟิร์สแบ็ก และ 44 นาทีสำหรับ Last Bag มีความรวดเร็วเพิ่มมากขึ้น การให้บริการขนส่งสาธารณะได้เพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้บริการ จัดระเบียบขยายพื้นที่ลดความแออัด และให้มีการปรับปรุงระยะเวลารอคิวขึ้นรถขนส่งสาธารณะให้มากที่สุด ตั้งเป้าหมายไม่ให้เกิน 10 นาทีต่อคน