ภาคเหนืออ่วม พบสารเคมีตกค้างในเลือดสูงสุดต่อเนื่อง 10 ปี ล่าสุดปี 65 พบถึง 70% "เชียงใหม่" เจอสูงสุดในภาคเหนือ ส่วน "ผักคะน้า" มีสารตกค้างสูงสุด เร่งผลักดันอาหารปลอดภัย เปิดตัว Green Farm ซื้อผักเกษตรกรปลอดสาร ราคาต้นทุน
เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ที่กาดต่อนยอน ชุมชนโหล่งฮิมคาว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ นางประภาศรี บุญวิเศษ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่พบสารเคมีตกค้างในเลือดสูงอันดับ 1 ของภาคเหนือ ต้องเร่งสร้างความรอบรู้ด้านอาหาร ให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชผลอินทรีย์ร่วมมือกับร้านอาหาร ตลาด โรงแรม โรงเรียน พัฒนาแหล่งอาหารปลอดภัยในชุมชน ช่วยผู้บริโภคเลือกซื้ออาหารที่มีโภชนาการที่เหมาะสม สร้างอาหารจากการปลูกผักที่ปลอดภัยด้วยตนเอง
รศ.ดร.วินิตา บุณโยดม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า ภาคเหนือเป็นภาคที่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายประชาชนระดับเสี่ยงและไม่ปลอดภัยสูงสุดมากว่า 10 ปี โดยปี 2565 ภาคเหนือมีสารเคมีตกค้าง 70.3% ภาคใต้ 58.65% ภาคกลางและภาคตะวันออก 41.19% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 37.14% มช. สานพลัง สสส. และภาคีเครือข่าย ริเริ่มโครงการสร้างเสริมสุขภาพจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคและกลุ่มผู้เปราะบาง ในช่วงภาวะวิกฤต ผลักดันระบบห่วงโซ่อาหารอย่างครบวงจรเข้าสู่ภารกิจของหน่วยงานในพื้นที่เชียงใหม่ เร่งขับเคลื่อนการทำงานด้านอาหารปลอดภัย สร้างความรอบรู้ด้านอาหารแก่ผู้บริโภค ลดการตกค้างของสารเคมีทั้งในผักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ มุ่งเป้าให้เชียงใหม่เป็นเมืองอาหารปลอดภัยอย่างแท้จริง
“การจัดเทศกาล Green Your Food ครั้งนี้ เปิดพื้นที่ให้คนทำงานด้านธุรกิจอาหารปลอดภัย แบ่งปันความรู้ แนวคิด ขับเคลื่อนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับจานอาหารผู้บริโภค พร้อมเปิดตัว Green Farm ระบบเชื่อมโยงกลุ่มเกษตรกรที่มีผักผ่านมาตรฐานการตรวจสอบ เพื่อให้ร้านอาหารมีแหล่งซื้อผักในราคาต้นทุน เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง ลดปัญหาผลผลิตล้นตลาด มีนวัตกรรม Green Kitchen, Green Distribution ตราสัญลักษณ์การันตีมาตรฐานสำหรับร้านอาหาร/ศูนย์การค้าที่มีวัตถุดิบที่ปลอดภัย มีผู้ผ่านเกณฑ์กว่า 100 ราย” รศ.ดร.วินิตา กล่าว
ศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มช. และผู้จัดการโครงการฯ กล่าวว่า พืชผักในเชียงใหม่ที่มีการตกค้างของสารเคมี 5 อันดับแรก คือ คะน้า ผักกาดขาว มะเขือเทศ กระเพรา พริกขี้หนู ส่งผลให้ระดับสารเคมีในเลือดของอาสาสมัคร 189 คน อยู่ในระดับเสี่ยงถึง 56.25% ระดับไม่ปลอดภัย 28.08% แต่ระดับปลอดภัยและปกติ อยู่ที่ 9.18 และ 6.49 เท่านั้น