ปลัด สธ.เผยสถานการณ์ "โควิด" แนวโน้มลดลงทั่วโลก สัปดาห์ที่ผ่านมาไทยพบป่วยใหม่ 2,551 ราย เสียชีวิต 33 ราย เฉลี่ยวันละ 4 ราย ยังติดเชื้อจากการรวมกลุ่ม ไม่ได้สวมหน้ากาก ห่วงเด็กเล็กต่ำกว่า 4 ปี ติดเชื้อมากขึ้น มีโอกาสรุนแรงและตายสูงกว่าเด็กโต 3 เท่า ขอให้มารับวัคซีนเพิ่มภูมิคุ้มกัน
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังประชุมติดตามสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ในหลายประเทศแถบยุโรปและเอเชียเป็นช่วงขาลง ส่วนประเทศไทยก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 23-29 ต.ค. 2565 มีผู้ป่วยรายใหม่ 2,551 ราย เฉลี่ยวันละ 364 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 320 ราย ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ 164 ราย และผู้เสียชีวิต 33 ราย เฉลี่ยวันละ 4 ราย โดยผู้เสียชีวิต 97% เป็นผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จำนวนนี้ยังไม่ได้รับวัคซีน ได้รับวัคซีนไม่ครบ หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้นถึง 76% ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อยังมาจากกิจกรรมการรวมกลุ่มคนและไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย
นพ.โอภาสกล่าวว่า กรมควบคุมโรคยังติดตามสถานการณ์ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศที่จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงฤดูหนาวนี้ พร้อมทั้งเฝ้าระวังสัญญาณการแพร่ระบาด ทั้งในสถานพยาบาล การระบาดแบบเป็นกลุ่มก้อน กลุ่มเสี่ยง/พื้นที่เสี่ยง และการตรวจหาสายพันธุ์กลายพันธุ์
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ การติดเชื้อในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี ซึ่งในช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิคอน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 29 ต.ค. 2565 พบว่า กลุ่มเด็กเล็กอายุ 0-4 ปี ติดเชื้อถึง 121,388 ราย ปอดอักเสบ 1,422 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 382 ราย และเสียชีวิต 69 ราย นอกจากจะติดเชื้อสูงกว่าเด็กช่วงวัยอื่น ยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าถึง 3 เท่า ดังนั้น สธ.จึงยังคงเดินหน้ารณรงค์การให้บริการวัคซีนโควิด 19 ในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคเรื้อรัง และกลุ่มเด็กเล็ก 6 เดือน - 4 ปี ซึ่งหากติดเชื้อจะมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงและเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่น โดยขอให้มารับวัคซีนได้ตามความสมัครใจ ไม่มีค่าใช้จ่าย ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อเร่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคเพิ่มสูงขึ้น