กรมสุขภาพจิต จัดทีมเยียวยาจิตใจดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิต คนอยู่ในเหตุการณ์กราดยิงหนองบัวลำภู รวม 88 คน ใช้หลักปฐมพยาบาลใจ ใช้หลักการ Safe Calm Hope Care สร้างความเข้มแข็งในชุมชนให้ผ่านพ้นวิกฤต จิตแพทย์แนะวิธีพ่อแม่ดูแลลูกหลังเผชิญเหตุสะเทือนขวัญ
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงการจัดทีมเร่งด่วนเพื่อเยียวยาจิตใจ (MCATT) เพื่อช่วยเหลือดูแลจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์กราดยิง จ.หนองบัวลำภู ว่า ขณะได้ดำเนินการเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตทุกครอบครัว รวมถึงผู้เห็นและอยู่ในเหตุการณ์ รวมทั้งสิ้น 88 ราย ทุกรายยังต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด เนื่องจากยังมีความเสี่ยงสูงจากภาวะปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งปฏิบัติการเยียวยาที่สำคัญใช้หลักการปฐมพยาบาลทางใจ (Psychological First Aid: PFA) ในการเยียวยาจิตใจอย่างใกล้ชิด ช่วยให้ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ครอบครัว ญาติ และคนในพื้นที่ ผู้ได้รับผลกระทบในชุมชนใกล้เคียง ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไป
ส่วนกลุ่มเด็กและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ในสภาพของความหวาดกลัว ตระหนก ควรให้การดูแลอย่างเร่งด่วนที่สุด ให้รู้สึกปลอดภัย อยู่ในสถานที่ที่รอดพ้นจากอันตราย ทำให้รู้สึกได้รับการปกป้องทางร่างกายและความรู้สึก โดยผู้ปกครอง/คนที่คุ้นเคยรับฟังและเข้าใจการแสดงออก ท่าทางของเด็กๆ ควรระมัดระวังไม่ควรสอบถาม ซักไซ้ ขุดคุ้ย ให้เล่าถึงเหตุการณ์ เพื่อให้ตอบคำถามถึงเหตุการณ์นี้ซ้ำๆ จะทำให้เกิดบาดแผลทางจิตใจที่ลึกและเรื้อรังยากต่อการเยียวยา และในกลุ่มญาติหรือผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเร่งเยียวยาผลกระทบสภาพทางอารมณ์ทันที ดูแลบาดแผลทางจิตใจให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันผลกระทบทางจิตใจระยะยาว
พญ.อัมพร กล่าวว่า การเยียวยาสร้างความเข้มแข็งทางใจในชุมชนให้ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตในพื้นที่ สามารถใช้หลักการ Safe คือ สร้างบรรยากาศให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยกลับมาโดยเร็ว , Calm การไม่กระจายข่าวลือหรือการส่งต่อข้อมูลจนเกิดการตื่นตระหนก , Hope การสร้างความหวังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และ Care การใส่ใจดูแลในสังคมร่วมกัน ทั้งนี้ ทีม MCATT จะติดตาม ดูแลช่วยเหลือและเยี่ยมบ้านอย่างใกล้ชิดพร้อมจัดตั้งศูนย์เยียวยาจิตใจในพื้นที่ โดยกระจายตามจุดต่าง ๆ ในพื้นที่ และสามารถเข้าถึงได้ง่าย ส่วนการเฝ้าระวังโรคเครียดภายหลังภยันตราย (PTSD) จะมีอาการ ดังนี้ ตื่นกลัวทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีอาการหวาดกลัว ตื่นตระหนก ตกใจง่าย กระสับกระส่าย วิตกกังวล คิดมาก มองโลกและตนเองในแง่ลบ นอนไม่หลับ หงุดหงิด สมาธิแย่ลง บางรายอาจมีความรู้สึกผิด รู้สึกซึมเศร้า หดหู่ สิ้นหวัง หรือการคิดเรื่องทำร้ายตัวเอง ดังนั้น ขอให้สำรวจความรู้สึกตัวเองว่า โกรธ ก้าวร้าว จนไม่สามารถจัดการได้หรือไม่ หากมีความรู้สึกนี้ขอให้ตั้งหลัก หาทางออก เช่น ขอคำปรึกษาจากคนใกล้ตัวรับฟังและใส่ใจคนรอบข้าง หากไม่สามารถจัดการความรู้สึกตัวเองได้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หรือโทรสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
ด้าน พญ.ดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองที่อ่านข่าวแล้วเกิดความสะเทือนใจ ควรหลีกเลี่ยงการเล่าเหตุการณ์นั้นให้เด็กฟัง เนื่องจากเป็นเหตุการณ์เฉพาะพื้นที่ ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติทั่วไป ไม่ใช่เรื่องที่สามารถสอนให้เด็กระวังตัวได้ เพราะไม่ได้อยู่ในจุดที่เด็กสามารถป้องกันตัวเองได้ ดังนั้น เด็กไม่จำเป็นต้องรับรู้โดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกันพ่อแม่อาจเกิดความรู้สึกผวา จึงต้องจัดการความรู้สึกของตัวเองให้ได้ก่อน ดูแลใจตัวเอง ติดตามข่าวจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ส่วนผู้ปกครองที่เด็กพบเหตุการณ์ทำนองดังกล่าว สิ่งสำคัญคือ คงกิจวัตรประจำวันของเด็กไว้ให้ดีที่สุด เพื่อให้เด็กรู้สึกว่า อยู่ในสภาวะปกติ ต่อมาให้สังเกตอาการของลูก ในเด็กเล็กเมื่อเวลาเครียดหรือตกใจ จะเล่นน้อยลง ไม่ร่าเริง พูดน้อยลง พัฒนาอาจถดถอยลง หรือเมื่อสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน ก็จะตกใจง่าย เช่น เห็นผู้ชายลักษณะคล้ายกัน หรืออื่นๆ ที่เด็กจะแสดงออก เช่น ฝันร้าย นอนไม่หลับ ซึ่งการฝันของเด็กอาจไม่เห็นเป็นเหตุการณ์ แต่จะเห็นเป็นเงาดำๆ หรือฝันเห็นผี
"หากผู้ปกครองทราบว่า ลูกมีความเครียดแล้ว สามารถพาลูกเล่นให้ผ่อนคลาย ทำกิจกรรม เช่น วาดภาพ ปั้นดินน้ำมัน เล่านิทาน เพื่อให้เด็กได้แสดงความรู้สึก ความเครียด สื่อความคิดของตัวเองผ่านรูปแบบการเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตาม เวลาที่เด็กเกิดอาการตกใจ ให้พ่อแม่กอดปลอบลูก แสดงความรัก ความอบอุ่นให้ลูก" พญ.ดุษฎีกล่าวและว่า เด็กเล็กอาจไม่ได้จำรายละเอียดในเหตุการณ์ แต่จะจำความรู้สึกได้ ถ้าไม่ได้รับการดูแลหรือเยียวยาจิตใจอย่างเหมาะสม เด็กอาจจะฝังเป็นบาดแผลทางใจได้ เด็กบางคนเล่าได้ว่าเป็นความรู้สึกเศร้าที่สุดในชีวิตตอนอายุเท่านี้ แม้จำเหตุการณ์ไม่ได้เป๊ะ แต่จำความรู้สึกได้
เมื่อถามว่าหากเด็กรู้สึกไม่ปลอดภัยในการเข้าพื้นที่คล้ายกับที่เกิดความรุนแรงต้องดูแลอย่างไร พญ.ดุษฎี กล่าวว่า ความกลัวเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของเด็กเพื่อปกป้องตัวเอง ถ้าเราเข้าใจเขา จะต้องไม่เร่ง ไม่รีบร้อนนำเด็กเข้าพื้นที่ ต่อมาให้ใช้การเล่นเป็นสื่อ เริ่มจากการพาเด็กเข้าพื้นที่ใกล้เคียงกัน ทำกิจกรรมที่คุ้นเคย เพื่อให้เด็กลดความกังวลจากสถานที่ที่เคยมีปัญหา ที่จะเป็นประโยชน์กับสังคมคือการคุยกับพ่อแม่เด็กทั่วไป หลีกเลี่ยงการเล่าเหตุการณ์นี้ให้เด็กฟัง พ่อแม่จะต้องดูแลจิตใจตัวเองเพราะการอ่านข่าวอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกร่วมได้ เสพข่าวอย่างมีสติเพื่อไม่ให้เครียดเกินไป ดูแลเด็กตามกิจวัตรประจำวันปกติ หากมีความกังวลก็อาจถามถึงสถานที่นั้นๆ ว่ามีระบบความปลอดภัยอย่างไร