xs
xsm
sm
md
lg

เปิดไกด์ไลน์รักษา "โควิด" เผย 6 เกณฑ์แอดมิท ใบรับรองแพทย์กำหนดเวลารักษา 5 วัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดแนวทางไกด์ไลน์รักษา "โควิด" ล่าสุด รักษาผู้ป่วยนอกหรือผแอดมิท ขึ้นกับดุลยพินิจแพทย์ แนะ 6 เกณฑ์พิจารณารับไว้ใน รพ. ขอใบรับรองแพทย์กำหนดเวลารักษา 5 วัน หากนานกว่านี้ต้องมีเหตุผล

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. พญ.นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมการแพทย์ กล่าวในงานอบรมออนไลน์เตรียมความพร้อมสำหรับช่วง Post Pandemic จัดโดยกองวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ ว่า แนวทางเวชปฏิบัติการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อใน รพ. กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ไกด์ไลน์) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 25 มีการปรับแนวทาง 5 ประเด็น คือ 1.เปลี่ยนการแยกกักผู้ติดเชื้อ เป็นแนะนำปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงแพร่เชื้อ 2.ปรับการให้บริการทางการแพทย์แบบผู้ป่วยนอก หรือผู้ป่วยใน ขึ้นกับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ในการประเมินความเสี่ยงต่อโรครุนแรง 3.ปรับคำแนะนำในการ admit 4.ปรับการให้ยาต้านไวรัสในกลุ่มอาการต่างๆ และ 5.ปรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโควิด

ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่เข้า รพ. และมีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจขอให้สวมหน้ากากอนามัยระหว่างรอรับการรักษา เมื่อตรวจหาเชื้อแล้วพบโควิด แต่ไม่มีอาการให้รักษาแบบผู้ป่วยนอก หากตรวจไม่พบเชื้อ ให้พิจารณารักษาตามความเหมาะสม และปฏิบัติตาม DMHT เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ อย่างเคร่งครัด 5 วัน ถ้ามีอาการรุนแรงให้พิจารณารับไว้ใน รพ. กรณีอาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง พิจารณาส่งตรวจ ATK ซ้ำ


ส่วนคำแนะนำการรับผู้ป่วยไว้ใน รพ. พิจารณา 6 ข้อ ดังนี้ 1.มีไข้ อุณหภูมิตั้งแต่ 39 องศาขึ้นไป วัดอย่างน้อยสองครั้งห่างกัน 4 ชั่วโมงในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง 2.มีภาวะขาดออกซิเจน 3.มีภาวะแทรกซ้อน หรือการกำเริบของโรคประจำตัวเดิม 4.เป็นผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรง ที่ไม่มีผู้อยู่ดูแลตลอดทั้งวัน เช่น อยู่บ้านคนเดียว 5. มีภาวะอื่นที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาใน รพ. ตามดุลยพินิจของแพทย์ และ 6. ข้อแนะนำจากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ระบุว่า ผู้ป่วยเด็กให้รักษาใน รพ.เมื่อมีข้อบ่งชี้ เช่น ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หรือให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ หรือต้องการออกซิเจน เช่น เด็กที่มีอาการซึม กินได้น้อย มีภาวะขาดน้ำจากอุจจาระร่วง หรือชักจากไข้สูง ฯลฯ

สำหรับการดูแลผู้ป่วยโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 ที่เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มที่ไม่มีอาการหรือสบายดี ให้รักษาแบบผู้ป่วยนอก ปฏิบัติตนตาม DMHT อย่างเคร่งครัดอย่างน้อย 5 วัน ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ ไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนใหญ่หายได้เอง

2.กลุ่มที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือโรคร่วมสำคัญ หรือภาพถ่ายรังสีปอดปกติ ให้รักษาแบบผู้ป่วยนอก ปฏิบัติตาม DMHT อย่างเคร่งครัด 5 วันเป็นอย่างน้อย อาจพิจารณาให้ยาฟ้าทะลายโจร หรือฟาวิพิราเวียร์ ถ้าจะให้ควรเริ่มยาภายใน 5 วันนับจากวันที่มีอาการ โดยให้ตัวใดตัวหนึ่ง ไม่แนะนำให้ยาต้านไวรัสตัวอื่น เพราะไม่มีการศึกษารองรับ

3.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลางยังไม่ต้องให้ออกซิเจน โดยเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง คือ โรคมะเร็ง ไม่รวมที่รักษาหายแล้ว กลุ่มนี้มีการใช้ยา 3 ตัว เลือกตัวใดตัวหนึ่ง คือ โมลนูพิราเวียร์ หรือ เรมดิซิเวียร์ หรือแพกซ์โลวิด

4.ผู้ป่วยยืนยันที่มีปอดอักเสบ ต้องรับแอดมิทใน รพ.โดยเร็ว แต่การรักษายังใช้แนวทางเดิม คือ แนะนำให้ยาเรมดิซิเวียร์ โดยเร็ซที่สุดเป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก

ส่วนการให้ยาต้านไวรัสในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ ให้รักษาตามเดิม กลุ่มที่ไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อย ไม่ให้ยาต้านไวรัส แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรครุนแรง พิจารณาให้ยาฟาวิฯพิราเวียร์หรือเรมดิซิเวียร์ ส่วนกลุ่มที่มีปอดอักเสบ ให้ยาเรมดิซิเวียร์ เป็นต้น

"การพิจารณาระยะเวลารักษาและลดแพร่เชื้อ ปัจจุบันผู้ติดเชื้อที่มีอาการเล็กน้อยหรือไม่มีอาการ ให้ปฏิบัติ DMHT อย่างเคร่งครัดอย่างน้อย 5 วัน กรณีเป็นผู้ป่วยในให้พักรักษาตัวใน รพ.จนอาการของโรคปกติ ระยะเวลาอาจจะไม่ถึง 5 วันได้ตามดุลยพินิจของแพทย์ และให้ปฏิบัติ DMHT เคร่งครัดอย่างน้อย 5 วัน โดยนับรวมเวลาที่อยู่ใน รพ. และที่บ้านรวมกัน" พญ.นฤมล กล่าว

ผศ.นพ.กำธร มาลาธรรม อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า ขณะนี้ไม่แนะนำให้ตรวจ ATK ก่อนทำกิจกรรมต่างๆ ในคนไม่มีอาการ อย่างการเข้าประชุมในโรงแรม โรงเรียน ฯลฯ แต่ให้ดูที่อาการเป็นหลัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับไกด์ไลน์ดังกล่าว ระบุถึงกรณีที่ผู้ป่วยขอใบรับรองแพทย์ให้ระบุ 5 วัน ถ้าจะให้พักนานกว่านั้น ควรมีเหตุผลความจำเป็นทางการแพทย์ที่ชัดเจน


กำลังโหลดความคิดเห็น