กรมสุขภาพจิตเผย 3 ปี ผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มสูงขึ้น พบโรคซึมเศร้าจาก 3 หมื่นคน เป้น 3.3 หมื่นคน เร้งเปิดบริการหอผู้ป่วยจิตเวช พร้อมร่วม สปสช.ผลักดันเพิ่มยาจิตเวชในบัญชียาหลัก และวิธีการรักษษทันสมัยให้ครอบคลุมในระบบหลักประกันฯ เร่งผลิตบุคลากรสุขภาพจิตเพิ่ม
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากรายงานศูนย์ข้อมูลสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่า จำนวนผู้ป่วยจิตเวชมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เช่น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มขึ้นจาก 30,247 คน ในปี 2562 เป็น 33,891 คน ในปี 2564 เป็นไปตามแนวโน้มเดียวกับสถานการณ์ทั่วโลก ส่วนหนึ่งเกิดจากวิกฤตโควิด 19 ทั้งนี้ สธ.ได้ทำงานเชิงรุกสร้างเครือข่ายคัดกรองค้นหากลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยทางจิตเวชเพิ่มขึ้น เพื่อให้เข้าถึงบริการ แต่มีข้อห่วงใยจากหลายภาคส่วนถึงความพร้อมด้านการตรวจรักษา ที่ต้องเร่งขยายศักยภาพและคุณภาพมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงเฉพาะการเปิดบริการหอผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มเติมใน รพ. 30 แห่งทั่วประเทศเพื่อรองรับการรักษาและส่งต่อร่วมกับ รพ.ทางจิตเวชที่มีอยู่ 20 แห่ง ยังได้ประสานสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ผลักดันยาจิตเวชที่จำเป็นเข้าสู่บัญชียาหลักเพิ่มเติม รวมทั้งพิจารณาหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมถึงการรักษาที่ทันสมัยทั้งที่หน่วยรักษาพยาบาลและในชุมชน
"ปัจจุบันประเทศไทยมีจิตแพทย์ปฏิบัติงานใน รพ.สังกัด สธ. 325 คน ส่วนพยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยา ใน รพ.สังกัด สธ.มี 2,838 คน ถือเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศในแถบเอเชียด้วยกัน มีการเร่งฝึกอบรมเพิ่มขึ้นในแต่ละปีสำหรับแพทย์ทั่วไปในประเทศ และได้รับการฝึกอบรมด้านจิตเวชด้วยจำนวนชั่วโมงที่มากกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ บุคลากรสาธารณสุขเหล่านี้ให้การดูแลผู้ป่วยทั้งใน รพ. และทำงานเชิงรุกเพื่อส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ นอกระบบสุขภาพ ทั้งในโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถานประกอบกิจการ สถานสงเคราะห์ สถานพินิจและคุ้มครองเด็ก เรือนจำ ฯลฯ ช่วยให้ค้นหาผู้ป่วยพบในระยะแรกเริ่ม และผลการรักษาดีกว่าการรอรับรักษาใน รพ.เพียงอย่างเดียว" พญ.อัมพรกล่าว
พญ.อัมพร กล่าวว่า นอกเหนือจากบริการทางการแพทย์และยา ครอบครัวและคนใกล้ชิดเป็นกลุ่มคนสำคัญที่จะช่วยสังเกตอาการและช่วยเหลือเบื้องต้นได้ โดยสามารถใช้หลักการ 3 ส. สอดส่องมองหา ใส่ใจรับฟัง และส่งต่อเชื่อมโยง ซึ่งการใส่ใจรับฟัง เติมพลังใจจากคนในครอบครัว จะเป็นพลังสำคัญในการช่วยผู้ป่วยจิตเวชให้หายทุเลา และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างบุคคลอื่นทั่วไปได้ ประเด็นสำคัญที่สุด คือการป้องกันและใส่ใจดูแลกันและกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตหรือเจ็บป่วยเป็นโรคทางจิตเวช ในภาพรวมระบบบริการสุขภาพจิตของไทยถือว่ามีความก้าวหน้าเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน และเป็นต้นแบบที่ได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติหลายประเด็น ทั้งเรื่องสุขภาพจิตโรงเรียน สุขภาพจิตชุมชน และการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญ