ปลัด สธ.แจงปรับ "โควิด" โรคเฝ้าระวัง 1 ต.ค.นี้ เพราะโรครุนแรงลดลง ไม่มีปัญหาด้านสาธารณสุขแล้ว ส่วนจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ ขึ้นกับ ศบค.พิจารณา เหตุยังมีความจำเป็นดูแลด้านอื่นๆ มอบพิจารณาระยะห่างฉีดเข็มกระตุ้น 6 เดือน หรือ 1 ปี
เมื่อวันที่ 23 ก.ย. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้โควิด 19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 เนื่องจากข้อมูลวิชาการทั่วโลกบ่งชี้ว่าขณะนี้เป็นช่วงท้ายของการระบาด หมายความว่าโรคไม่ได้มีความรุนแรงอีกต่อไป อีกทั้งระบบสาธารณสุขสามารถดูแลได้ วัคซีน ยา มีเพียงพอ โรคโควิดไม่ได้เป็นปัญหากับระบบสาธารณสุขที่ต้องใช้สรรพกำลังเข้าไปดู แค่เฝ้าระวัง เพราะโรคอาจจะขึ้นหรือลงอีกก็ได้
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ปัจจุบันโรคไม่ได้เป็นปัญหาอีก ขณะนี้ระบบสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยสองระบบ คือผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยผู้ป่วยนอกเมื่อมาตรวจจะได้รับยากลับไปดูแลที่บ้านหลังเดือน ต.ค.เป็นต้นไป และหากมีอาการมาก แพทย์จะพิจารณารับเป็นผู้ป่วยในต่อไป ส่วนแพทย์และพยาบาลที่ดูแลคนไข้จะลดระดับการสวมใส่ชุด PPE ตามความเหมาะสม โดยจะเสนอ ศบค.รับทราบการดำเนินการเหล่านี้
"ช่วงแรกที่ประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย ศบค.ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่หลัง ต.ค. เมื่อโควิดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังแล้ว จะต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกหรือไม่ก็แล้วแต่ศบค.พิจารณา เพราะยังมีความจำเป็นในการดูแลด้านอื่นๆ อย่างด้านสังคม จำเป็นต้องมีการดำเนินการอยู่ระยะหนึ่ง แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับ ศบค.พิจารณา แต่ของสาธารณสุขถือว่าอยู่ในระดับปกติแล้ว" ปลัด สธ.กล่าว
ถามว่าจะมีการปรับแผนวัคซีนโควิดปี 66 อย่างไร นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ได้มอบให้กรมควบคุมโรคทบทวนแผนการฉีดวัคซีนปี 2566 เนื่องจากขณะนี้มีคนฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นทั้งเข็ม 3 และเข็ม 5 แล้ว และมีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการศึกษาผลการฉีดไปแล้ว กับการติดเชื้อว่าควรมีระยะห่างที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไร เพราะที่ผ่านมาเป็นช่วงของการระบาดรุนแรงถึงปานกลาง ทำให้การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต้องมีระยะห่างทุก 4 เดือน แต่เมื่อการระบาดอยู่ช่วงท้ายก็อาจต้องพิจารณาระยะห่าง 6 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งต้องให้คณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณา เพื่อนำมาวางแผนการจัดซื้อวัคซีนต่อไป ส่วนปี 65 นี้จะพิจารณาว่า ถ้าวัคซีนมากเกินไป คือ มีคนฉีดเยอะแล้ว อาจปรับเป็น LAAB เพิ่มสำหรับกลุ่มเสี่ยง