สปสช.จัดงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคปี 66 รวม 2.1 หมื่นล.บาท ดูแลคนไทยทุกสิทธิ 66.2 ล้านคน ตก 322 บาทต่อหัว แบ่งดูแล 3 ระดับ เพิ่มสิทธิใหม่ทั้งสายด่วนเลิกบุหรี่ สายด่วนสุขภาพจิต ขยายการจ่ายตามรายการบริการเป็น 22 รายการ
เมื่อวันที่ 18 ก.ย. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สปสช.จัดสรรงบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้คนไทยทุกคนทุกสิทธิการรักษาพยาบาลทุกปี เป็นหนึ่งในระบบบริการปฐมภูมิ ซึ่งปี 2566 ได้จัดสรรงบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับประชากรทุกสิทธิ 66.286 ล้านคน อัตรา 322.56 บาท/คน วงเงินมากกว่า 21,300 ล้านบาท บริหารงบเป็น 3 ส่วน คือ 1.ระดับประเทศ 26.75 บาท/คน สนับสนุนจัดหาวัคซีน ยาและวัสดุที่จำเป็นให้แก่หน่วยบริการ เช่น วัคซีนพื้นฐาน วัคซีนเอชพีวี วัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วง วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ยายุติการตั้งครรภ์ ถุงยางอนามัย สมุดบันทึกสุขภาพ เพิ่มค่าบริการสายด่วนให้คำปรึกษา เช่น สายด่วนสุขภาพจิต สายด่วนเลิกบุหรี่
2.ระดับเขต/จังหวัด 4 บาท/คน เป็นค่าบริการแก่หน่วยบริการ/หน่วยงาน/องค์กรภาคประชาชนที่ให้บริการตามโครงการที่ต้องการเร่งรัดการเข้าถึงบริการตามนโยบายหรือแก้ปัญหาพื้นที่ และ 3.บริการพื้นฐาน 291.81 บาท/คน จัดสรรแบบเหมาจ่าย 232.32 บาท/คน ให้หน่วยบริการเพื่อบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค คัดกรองการได้ยินเด็กแรกเกิดทุกราย ตรวจไวรัสตับอักเสบบีในหญิงตั้งครรภ์ คัดกรองโควิด และค่าบริการฉีดวัคซีนโควิด ตรวจวัดความดันโลหิตสูงที่บ้าน และอีก 59.49 บาท/คน เป็นการจ่ายตามรายการบริการ Fee Schedule ซึ่งหน่วยบริการจะต้องมีระบบพิสูจน์ตัวตนของประชาชนผู้ใช้บริการ และมีระบบการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริต
นพ.จเด็จ กล่าวว่า ในปี 2566 สปสช.ปรับการบริหารการจ่ายเพื่อให้กลุ่มวัยทำงานเข้าถึงบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรครายการ Fee schedule เพิ่มขึ้น โดยเพิ่มบริการใหม่นำมาจัดกลุ่มรวมกับรายการเดิม รวมเป็น 22 รายการ โดยรายการใหม่ ได้แก่ ทดสอบการตั้งครรภ์ , ตรวจหลังคลอด , วางแผนครอบครัวและป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ , คัดกรองโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก , ยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กและโฟลิค , คัดกรองและประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต , เคลือบฟูลออไรด์ (กลุ่มเสี่ยง) , จ่ายค่าฉีดวัคซีนคอตีบ-บาดทะยักในผู้ใหญ่และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และเพิ่มจุดให้บริการผ่านร้านยาและคลินิกพยาบาลเพื่อเพิ่มการเข้าถึง เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ถุงยางอนามัย ยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กและโฟลิก และการทดสอบการตั้งครรภ์ เป็นต้น
