xs
xsm
sm
md
lg

"สิวเห่อ" มาพร้อมหน้าฝน เตือนเช็ก "กลิ่นเท้า" ให้ดี อย่าทำเพื่อนขมคอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ช่วงนี้ฝนแทบตกกระหน่ำเช้าเย็น หลายพื้นที่เจอน้ำรอระบายเพียบ กลายเป็นอุปสรรคในการเดินทางสำหรับคนที่ต้องออกมาทำงานหรือทำธุระนอกบ้าน แต่นอกจากความวินาศสันตะโรของน้ำท่วมและรถติดแล้ว อย่าลืมสังเกตอาการใกล้ตัวที่มาพร้อมกับหน้าฝนด้วย


"สิวเห่อ" ช่วงหน้าฝน

หลายคนอาจสงสัยว่าช่วงนี้ทำไมสิวเห่อขึ้นมากกว่าปกติ พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผอ.สถาบันโรคผิวหนัง อธิบายว่า ความร้อนและความชื้นล้วนมีผลต่อทั้งปริมาณและการอักเสบของสิว หลายคนอาจจะสังเกตว่าสิวเห่อขึ้นกว่าปกติในช่วงหน้าฝน เพราะความอบอ้าวส่งผลต่อเชื้อบนผิว การเปิดของรูขุมขน การทำงานที่เพิ่มขึ้นของต่อมไขมัน เหล่านี้ส่งผลต่อสิวบนใบหน้า โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย การดูแลรักษา ดูแลความสะอาด หากอักเสบหรือเห่อมากควรพบแพทย์ ใช้ยาสิวอย่างสม่ำเสมอ เปลี่ยนหน้ากากทุกวัน เลือกหน้ากากที่ไม่ระคายผิวจนเกินไป

นอกจากเช็กใบหน้าแล้ว อีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้คือ เช็กกลิ่นเท้า ก่อนที่จะทำให้คนรอบข้างต้องมีอาการขมคอ


พญ.มิ่งขวัญกล่าวว่า ช่วงหน้าฝนอีกโรคผิวหนังอีกโรคที่มักพบบ่อย คือ โรคเท้าเหม็น (Pitted keratolysis) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่หนังเท้าชั้นนอก พบบ่อยเมื่อเท้ามีความอับชื้นอยู่นาน มีเหงื่อออกเท้ามาก สวมรองเท้าถุงเท้าที่ระบายเหงื่อหรือความชื้นได้ไม่ดี มีหนังฝ่าเท้าหนา น้ำหนักตัวมาก หรือเป็นเบาหวานก็เป็นปัจจัยส่งเสริมโรคนี้ได้ ฝ่าเท้าอาจจะมีลักษณะเป็นขุย หรือหนา หรือลอก หรือเมื่อดูใกล้ๆจะพบว่ามีรูพรุนเล็ก ๆ มากมายบริเวณฝ่าเท้า และด้านล่างของนิ้วเท้า มักไม่มีอาการใด ๆ แต่อาจจะทำให้เสียบุคลิกภาพ การดูแลรักษา ให้ยาปฏิชีวนะชนิดใช้ภายนอก เช็ดทาให้ทั่วบริเวณที่เป็น หมั่นดูแลความสะอาด ปรับเปลี่ยนถุงเท้ารองเท้า หรือรักษาภาวะเหงื่อเท้ามากเกิน

นอกจากสิวเห่อ และเท้าเหม็นแล้ว ยังมีอีก 4 โรคผิวหนังที่พบได้บ่อยเช่นกัน คือ 1.โรคน้ำกัดเท้า (Athlete’s foot หรือ Hong Kong foot) โรคผิวหนังที่เกิดกับเท้า และซอกนิ้วเท้า มีสาเหตุมาจากเชื้อรากลุ่ม Dermatophytes ซึ่งก็คือเชื้อราชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคกลาก ความอับชื้นของถุงเท้ารองเท้า จากการลุยฝนลุยน้ำ มีส่วนทำให้เชื้อเจริญเติบโตได้ดี และหรืออาจติดจากสิ่งของเครื่องใช้ที่มีเชื้อนี้อยู่ก็ได้ และอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ การดูแลรักษา สามารถให้ยาทาฆ่าเชื้อราภายนอก หรือพิจารณาให้ยารับประทาน ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ความกว้างของพื้นที่ติดเชื้อ และภาวะภูมิต้านทานของผู้ป่วยเองด้วย

2.โรคกลาก (Dermatophytosis) และเกลื้อน (Tinea Versicolor) คือ โรคผิวหนังติดเชื้อรา โดยกลากเป็นเชื้อรากลุ่ม Dermatophyte เช่นเดียวกันกับโรคน้ำกัดเท้า ซึ่งเชื้อชนิดนี้สามารถเป็นกับผิวหนังได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณอับชื้นเช่นขาหนีบ ก้น ส่วนเกลื้อนเป็นเชื้อรากลุ่ม Pityriosporum ซึ่งจะให้ลักษณะทางคลินิกที่แตกต่างกัน การดูแลรักษา ก็เช่นเดียวกับโรคน้ำกัดเท้า และทั้งสองกลุ่มโรคนี้ ควรต้องรักษาความสะอาดร่างกายและเสื้อผ้าที่สวมใส่ให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ

3. โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic eczema) ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ผิวหนังจะมีความไวต่อการเกิดผื่น โดยผื่นอาจถูกกระตุ้นให้เห่อขึ้นได้ เมื่อมีความชื้นมาก เหงื่อที่ระบายได้ยาก และการเสียดสี แม้แต่การติดเชื้อราหรือแบคทีเรียเล็ก ๆ น้อย ๆ บนผิวหนัง ก็สามารถทำให้ผื่นภูมิแพ้แย่ลงได้ การดูแลรักษา คือการดูแลความสะอาดด้วยสารทำความสะอาดที่ไม่รุนแรงต่อผิว เลือกทาครีมบำรุงเป็นประจำที่ไม่มีสารก่อระคายเคืองเข่นน้ำหอมหรือสารเร่งให้ขาว เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป

และ 4.ผิวหนังอักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย ในฤดูฝนอาจมีแมลงต่าง ๆ แตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ โดยเฉพาะแมลงบิน แมลงดูดเลือด อย่างเช่นยุงชนิดต่าง ๆ ริ้นดำ ริ้นทะเล และแมลงอื่นที่ไม่ได้มากัด เราแต่อาจมาสัมผัสโดนโดยบังเอิญ เช่น ด้วงก้นกระดก แมลงเหล่านี้เมื่อสัมผัสกับผิวหนังแล้วก็อาจจะมีอาการมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละราย และบางชนิดก็อาจเป็นพาหะนำโรคอื่น ๆมาด้วย การดูแลรักษา เมื่อถูกกัดหรือถูกสัมผัสโดน ให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาด ถ้าผิวหนังมีผื่นหรือมีอาการคัน อาจใช้ยาสำหรับทาแมลงสัตว์กัดต่อยทาบริเวณที่เป็นได้ แต่หากมีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือบวมเจ็บผิดสังเกตให้รีบไปพบแพทย์


กำลังโหลดความคิดเห็น