ปลัด สธ.แจงฝ้าห้องฉุกเฉิน รพ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ถล่ม เกิดจากการต่อเติมบวกกับฝนตกหนัก ไม่มีผู้บาดเจ็บหรืออุปกรณ์เสียหาย ย้ายจุดบริการมาด้านนอกแล้ว ส่วน รพ.แกลงน้ำท่วมบ้านพักพยาบาล กระทบ 37 คนให้การช่วยเหลือแล้วเช่นกัน เผยเกือบเดือนมีสถานบริการสาธารณสุขเจอผลกระทบน้ำท่วม 16 แห่ง สั่งทุกพื้นที่เสี่ยงติดตามสถานการณ์ สำรวจอาคาร ป้องกันน้ำท่วมเข้า รพ.
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนเข้าสู่พายุโซนร้อน “หมาอ๊อน” ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง น้ำล้นตลิ่ง ระหว่างวันที่ 13 ส.ค. – 9 ก.ย. 2565 ในพื้นที่ 27 จังหวัด มีสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบ 16 แห่ง ประกอบด้วย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ 1 แห่ง โรงพยาบาล 2 แห่ง และรพ.สต. 13 แห่ง โดยหน่วยบริการเปิดให้บริการได้ตามปกติ 11 แห่ง เปิดให้บริการบางส่วน 1 แห่ง และต้องปิดให้บริการ 3 แห่ง ได้ย้ายจุดบริการไปยังพื้นที่ปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ได้จัดทีมแพทย์ออกปฏิบัติการเชิงรุก คือ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 41 ทีม MERT 2 ทีม miniMERT 24 ทีม CDCU 2 ทีม MCATT 3 ทีม และอื่นๆ 3 ทีม มีผู้เข้ารับบริการรวม 3,849 ราย โดยกองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งยาช่วยเหลือผู้ประสบภัยลงไปสนับสนุนในพื้นที่ 19 จังหวัด จำนวน 19,100 ชุด
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์น้ำท่วมบ้านพักพยาบาล รพ.แกลง จ.ระยอง ได้รับรายงานจาก ผอ.รพ.ว่า อาคารที่ถูกน้ำท่วมเป็นบ้านพักเก่า 2 ชั้น อยู่ในที่ลุ่ม มีเจ้าหน้าที่ได้รับผลกระทบ 37 คน ขณะนี้ได้จัดที่พักให้ใหม่แล้ว ส่วนอาคาร รพ.และบริเวณอื่นๆ ไม่ได้รับผลกระทบ เปิดให้บริการได้ตามปกติ ส่วนเหตุการณ์ฝ้าเพดานห้องฉุกเฉินพังลงมา ที่ รพ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง เบื้องต้นได้รับรายงานว่า เกิดจากรอยต่อโครงสร้างอาคารที่มีการต่อเติมประกอบกับฝนตกหนักทำให้มีน้ำซึม ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้รับความเสียหาย เคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ออกมาให้บริการบริเวณหน้าห้องฉุกเฉิน สามารถให้บริการได้ตามปกติ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอ่างทองได้ประสานสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดให้เข้ามาทำการตรวจสอบแล้ว
“ขอให้พื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ เตรียมพร้อมป้องกันน้ำท่วม สำรวจอาคารสถานที่ โดยเฉพาะระบบน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบสำรองไฟฟ้า เพื่อไม่ให้กระทบการให้บริการประชาชน และทำการยกหรือเคลื่อนย้ายครุภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ไปอยู่ในที่ปลอดภัย สำรองยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอสำหรับให้บริการ พร้อมทั้งเฝ้าระวังผลกระทบด้านโรคและภัยสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้น และออกหน่วยบริการทางการแพทย์เชิงรุกเพื่อให้ประชาชนได้รับการอย่างเหมาะสม” นพ.เกียรติภูมิกล่าว