xs
xsm
sm
md
lg

แนะสังเกตอาการ "มือ เท้า ปาก" รุนแรงในเด็กเล็ก ให้รีบพบแพทย์ทันที

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แพทย์เตือน "โรคมือ เท้า ปาก" พบได้ในเด็กเล็กได้ตลอดปี ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง หายได้เองหากไม่มีอาการแทรกซ้อน หากพบไข้สูง ซึม ไม่ทานอาหาร ไม่ดื่มน้ำ หอบ อาเจียน แขนขาอ่อนแรง ชัก ควรส่งแพทย์ทันที เหตุอาจเกิดสมองอักเสบ หล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ น้ำทั่วมปอด ถึงขั้นดับได้
เมื่อวันที่ 22 ส.ค. นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคมือ เท้า ปาก มักพบบ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี พบได้ประปรายในเด็กโต โดยเฉพาะเด็กที่อยู่รวมกัน เช่น โรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์เด็กเล็ก โรคนี้เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี และจะพบเพิ่มขึ้นในฤดูฝน ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสในลำไส้ โดยเชื้อไวรัสจะเข้าสู่ปากจากการสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก น้ำตุ่มพองและแผลของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังเกิดจากการไอจามใส่กันได้อีกด้วย ดังนั้น สถานศึกษาควรมีมาตรการคัดกรองและสังเกตอาการของเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้า เพื่อเฝ้าระวังการป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปาก

ด้าน นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผอ.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า เด็กที่ป่วยเป็นโรคมือ เท้า ปาก ส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากอาการไข้ ซึ่งอาจจะไข้ต่ำหรือไข้สูงก็ได้ อ่อนเพลีย มีอาการเจ็บปาก กลืนน้ำลายไม่ได้ เนื่องจากมีตุ่มแดงที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม มีตุ่มพองใสแดงที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นด้วย ผื่นมักจะไม่คันและหายเป็นปกติ ภายใน 7 – 10 วัน โรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะรักษาตามอาการ โดยปกติมักไม่รุนแรงและหายได้เองหากไม่มีอาการแทรกซ้อน ผู้ปกครองจึงควรดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อพบมีไข้สูง ซึม ไม่ยอมทานอาหารหรือดื่มน้ำ อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง ชัก ควรรีบนำไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดภาวะสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด ซึ่งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

การดูแลเบื้องต้นพยายามให้จิบน้ำบ่อยๆ อย่าให้ขาดน้ำ หากทานอาหารไม่ได้ เพราะมีอาการเจ็บในปากมาก สามารถให้รับประทานอาหารที่เย็นเช่นไอศครีมโยเกิร์ต และรับประทานน้ำตามทุกครั้ง ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นในสามวัน แต่ถ้าทานไม่ได้ ปัสสาวะออกน้อย อ่อนเพลียซึมมากให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แม้โรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่ผู้ปกครองสามารถดูแลได้โดย 1.สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน 2.ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรือภายหลังการขับถ่าย หรือเปลี่ยนผ้าอ้อม 3. หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าขนหนู 4. หากพบว่าเด็กมีอาการป่วยควรแจ้งทางโรงเรียนทราบและควรรักษาตัวอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ


กำลังโหลดความคิดเห็น