xs
xsm
sm
md
lg

แนะรับผู้ป่วยสงสัย "ฝีดาษลิง" เข้า รพ.ทุกราย สกัดหลบหนี-แพร่เชื้อ "อนุทิน" สั่งทุก รพ.เตรียมพร้อม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"อนุทิน" สั่งทุก รพ.พื้นที่ท่องเที่ยวเตรียมแล็บและการรักษา "ฝีดาษลิง" เข้ม นพ.สสจ.หากพบผู้ป่วย ต้องติดตามผู้สัมผัส กรมการแพทย์แนะ เจอผู้ป่วยสงสัยให้ระบไว้ใน รพ.ทุกราย จนกว่าผลแล็บชัด เพื่อป้องกันหลบหนี ป้องกันแพร่กระจายเชื้อ

เมื่อวันที่ 26 ก.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเฝ้าระวังโรคฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิง (Monkeypox) ว่า สธ.มีการเฝ้าระวังอยู่แล้ว โดยได้จัดเตรียมเวชภัณฑ์ และสั่งการให้ รพ.โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เตรียมการรักษา เตรียมห้องปฏิบัติการ (แล็บ) ให้ดี ต้องรีบเช็กแล็บ และสั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ตั้งระบบติดตาม  ถ้าเกิดมีผู้ป่วยฝีดาษลิง ก็ต้องติดตามผู้สัมผัส ติดตามลำดับชั้นให้ได้โดยเร็ว

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวในงานเสวนาแนวทางการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อใน รพ. กรณีโรคฝีดาษวานร ว่า องค์การอนามัยโลกจัดให้โรคฝีดาษลิงเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยมี 3 ข้อพิจารณา คือ 1.เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น 2.เป็นความเสี่ยงด้านสาธารณสุข เนื่องจากการแพร่กระจายของโรคระหว่างประเทศ และ 3.ต้องใช้ความร่วมมือประสานกันระหว่างประเทศในการควบคุมโรค แต่ไม่ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการประกาศ มีข้อโต้แย้งกัน ซึ่งผอ.องค์การอนามัยโลกใช้ดุลยพินิจบอกว่าควรจะประกาศเป็นภาวะฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม แม้จะสถานะเดียวกันกับโควิด แต่ความรุนแรงของตัวโรคไม่เท่ากัน โดยทั่วไปฝีดาษลิงไม่ค่อยรุนแรง มักจะหายเอง แตกต่างจากโควิด 19 แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในการควบคุมโรค จึงประกาศภาวะฉุกเฉิน

สำหรับแนวทางการวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันมีการวางกรอบไว้เบื้องต้น หลักการเดียวกับกรณีมีโรคติดต่อที่ไม่รู้จักที่มาใหม่ เมื่อมีผู้ป่วยเข้าข่ายสงสัยเข้ามารับบริการที่ รพ. แม้โรคนี้ไม่ได้แนะนำว่าต้องรับเข้าไว้รักษาใน รพ.ทุกราย เป็นแบบเดียวกันทั่วโลกทั้งอเมริกาและยุโรป แต่ประเทศไทยระยะแรกเบื้องต้นอาจจะแนะนำให้รับไว้ใน รพ.ทุกรายก่อนจนกว่าจะทราบผลยืนยันจากห้องแล็บ เพื่อให้การสอบสวนโรคชัดเจนขึ้น ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการหลบหนีเหมือนกรณีชายไนจีเรีย อีกทั้งโรคนี้จัดเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ไม่ใช่โรคติดต่ออันตราย จึงไม่สามารถไปใช้อำนาจของกฎหมายอื่นในการควบคุมตัวไม่ได้


กำลังโหลดความคิดเห็น