อังกฤษเพิ่งตื่น วัยรุ่นสูบบุหรี่ไฟฟ้าพุ่งเกือบ 2 เท่าในรอบ 2 ปี ฝ่าฝืน กม. ขายบุหรี่ให้เด็กต่ำกว่า 18 ปี พบ 1 ใน 4 ของบุหรี่ไฟฟ้าไม่ผ่านมาตรฐานและห้ามขาย ดึงอินฟลูเอนเซอร์ชวนเชื่อ ย้ำไทยควรเข้มห้ามขายต่อไป
เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า จากผลการสำรวจการใช้บุหรี่ไฟฟ้าระดับประเทศเป็นครั้งแรกของอังกฤษ โดยองค์กรแอช พบวัยรุ่น อายุ 11-17 ปี มีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 4% ในปี 2563 เป็น 7% ในปี 2565 แม้มีกฎหมายห้ามขายให้แก่เด็กอายุต่ำว่า 18 ปี ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 2,500 ปอนด์ หรือ 107,500 บาท แต่ 47% ของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี สามารถซื้อบุหรี่ไฟฟ้าจากร้านค้าได้ จากการตรวจสอบพบว่า 1 ใน 4 ของบุหรี่ไฟฟ้า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและห้ามขาย โดย 56% ของเด็กอายุ 11-17 ปี รับรู้ว่ามีการส่งเสริมการขายบุหรี่ไฟฟ้า พบส่วนใหญ่ที่ร้านค้าปลีก หรือทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Tiktok และอินสตาแกรม และมีการใช้อินฟลูเอนเซอร์อายุน้อยส่งเสริมการขาย
“อังกฤษเริ่มพบการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่น ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างถูกกฎหมาย ทั้งที่อังกฤษมีการบังคับใช้กฎหมายที่ดีมาก แต่ยังมีการฝ่าฝืนกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าแก่คนที่อายุไม่ถึง 18 ปี ทั้งที่โทษปรับสูงนับแสนบาทไทย และยังมีการส่งเสริมการขายที่ผิดกฎหมาย และขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน สิ่งที่น่าสนใจติดตามคืออังกฤษจะสามารถป้องกันสถิติการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและวัยรุ่น ไม่ให้เพิ่มขึ้นอย่างประเทศอื่นๆ ที่ให้ขายบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างถูกกฎหมายได้หรือไม่” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
ศ.นพ.ประกิต กล่าวต่อว่า องค์กรแอช รณรงค์ไม่สูบบุหรี่ ได้เสนอให้มีการเฝ้าระวังการระบาดของการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มงบประมาณในการบังคับใช้กฎหมายห้ามขายบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็กอีก 15 ล้านปอนด์ หรือ 650 ล้านบาท ตามที่มีรายงานแนะนำ ปรับปรุงกฎหมายห้ามใช้หีบห่อ อุปกรณ์ที่เย้ายวนวัยรุ่น ควบคุมส่วนประกอบ และป้องกันการขายทางโซเชียลมีเดีย โดยความเข้มงวดของการควบคุม ให้ชั่งน้ำหนักระหว่างผลเสียของบุหรี่ไฟฟ้าต่อเด็กและผลดีต่อผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ สำหรับประเทศไทย ที่ความพร้อมและงบประมาณสนับสนุนการควบคุมยาสูบห่างชั้นกับอังกฤษ และอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กอายุ 15-19 ปี ที่ยังต่ำมาก 0.12% จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 ดังนั้น จึงควรคงนโยบายการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป ไม่มีความจำเป็นที่จะรีบเร่งยกเลิกกฎหมายห้ามขาย ตามที่เครือข่ายธุรกิจบุหรี่เรียกร้อง