กรมวิทย์ ยันพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ BA.2.75 ที่ตรัง เป็นชายที่เข้าร่วมงานประชุมต่างชาติที่ภูเก็ต เผย ทั่วโลกมีรายงานในฐานข้อมูล 359 ราย เบื้องต้นพบตำแหน่งกลายพันธุ์ที่อาจหลบภูมิคุ้มกัน จับกับเซลล์ได้ดีขึ้น แต่ความเร็วและความรุนแรงยังไม่ชัดเจน
เมื่อวันที่ 20 ก.ค. นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์ BA.2.75 ในประเทศไทย ว่า ผู้ติดเชื้อเป็นชาวไทยอายุ 53 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดตรัง เดินทางไปประชุมที่ภูเก็ต ที่มีชาวต่างชาติร่วมประชุมด้วย จากนั้นมีอาการและตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด ตรวจยืนยันด้วย RT-PCR พบติดเชื้อ รพ.ได้ส่งตัวอย่างมาตรวจสายพันธุ์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12/1 จ.ตรัง และส่งต่อมายังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อยืนยันสายพันธุ์ด้วยการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม พบเป็นโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2.75 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงนำส่งข้อมูลเพื่อเผยแพร่บนฐานข้อมูลสากล GISAID เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2565 ซึ่ง GISAID ได้ตรวจสอบและประกาศขึ้นระบบเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2565
ทั้งนี้ สายพันธุ์ BA.2.75 พบครั้งแรกที่ต่างประเทศตั้งแต่ ม.ค. 2565 แต่มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอินเดีย ช่วง มิ.ย.ที่ผ่านมา ล่าสุด ฐานข้อมูล GISAD มีรายงานเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ตรวจพบจากทั่วโลกแล้ว จำนวน 359 ราย เบื้องต้นสายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์บน spike protein หลายตำแหน่งที่ต่างจากสายพันธุ์ย่อย BA.2 โดยสองตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ ตำแหน่งกลายพันธุ์ G446S อาจทำให้เกิดการหลบภูมิคุ้มกัน ที่สร้างขึ้นภายหลังการติดโรคโควิด-19 หรือจากการฉีดวัคซีน ทำให้โอกาสการติดเชื้อซ้ำจากไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์เพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น และการกลายพันธุ์ตำแหน่ง R493Q ทำให้ไวรัสจับกับเซลล์มนุษย์และรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการแพร่กระจาย
“องค์การอนามัยโลกจัด BA.2.75 อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวลที่ต้องจับตาดู (VOC-LUM) ขณะความเร็วในการแพร่เชื้อและความรุนแรง ยังไม่มีข้อมูลที่มากพอจึงยังไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป โดยกรมฯ เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง มีการรายงานผลการตรวจเฝ้าระวังสายพันธุ์ขึ้นระบบฐานข้อมูลกลาง GISAID สม่ำเสมอ และย้ำว่า การรับวัคซีนเข็มกระตุ้น ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ และยังต้องคงมาตรการการป้องกันตนเอง เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง เลี่ยงกิจกรรมเสี่ยง” นพ.ศุภกิจ กล่าว