ภายหลังจากที่ลูกชายคนเล็ก “สิน สิทธิสมาน” ได้เดินทางกลับไปเรียนที่ประเทศจีนได้อีกครั้ง ต้องผ่านด่านมาตราการที่เข้มงวดและเคร่งคัดของประเทศจีน เรียกว่าต้องกักตัวตั้งแต่อยู่เมืองไทย และเมืองจีน รวมๆ แล้วก็เกือบเดือน ถึงวันนี้เขาเดินทางไปถึงมหาวิทยาลัยแล้ว ได้กลับไปยืนที่เดิม แต่สำหรับเขาทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว !
…………………..
และแล้วก็ได้กลับมายืนที่เดิมอีกครั้ง…
เป็นเวลานานกว่า 2 ปีครึ่งที่โรคระบาดโควิด-19 ตัวร้ายได้เข้ามาเล่นงานชีวิตของพวกเราทุกคน รวมถึงตัวผมด้วย จากที่ควรจะเป็นนักเรียนไทยที่มาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่แดนมังกร ณ มหานครเซี่ยงไฮ้ กลายเป็นต้องใช้ชีวิตกว่า 2 ปีครึ่งไปกับการเรียนออนไลน์อยู่ในแผ่นดินไทยเสียอย่างนั้น
การรอคอยแม้จะนาน แต่ก็มีจุดสิ้นสุด
วันนี้ผมได้กลับมาถึงมหาวิทยาลัย East China Normal University หรือ ECNU เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกว่าจะเข้ามาได้ก็ต้องผ่านด่านที่ต้องใช้ความทรหดอดทนกันพอสมควรทีเดียว
เริ่มจากราวๆ เดือนพฤษภาคม 2022 เมื่อรู้ว่ามีเที่ยวบินเหมาลำที่ 2 จะบินกลับจีนในวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมาแน่นอน และมีรายชื่อผมอยู่ในนั้น สิ่งแรกที่ผมทำก็คือขอความร่วมมือทุกคนในบ้านให้ชะลอการออกไปนอกบ้าน ถ้าไม่มีธุระจำเป็นอะไรก็ขอให้งดไว้ก่อน รวมถึงตัวผมด้วย โดยเฉพาะงานเลี้ยงสังสรรค์หรือในสถานที่ที่ต้องมีผู้คนจำนวนมาก เพราะว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย นั่นคือการติดโควิด-19 ก่อนเดินทาง
เพราะถ้าติดโควิด-19 ก็เท่ากับว่าโอกาสในการกลับไปเรียนที่จีนในรอบเกือบ 3 ปีจะหายไปในทันที
ฉะนั้น การระมัดระวังตัวขั้นสูงสุดจึงเริ่มขึ้น บรรดาผู้โดยสารนักเรียนไทยที่มีรายชื่อซึ่งต้องเดินทางเที่ยวบินเดียวกัน ต้องตรวจหาเชื้อด้วยระบบ RT-PCR หลายครั้ง คือ ก่อนเดินทาง 14 วัน ก่อนเดินทาง 7 วันก่อนเดินทาง 48 ชั่วโมง และก่อนเดินทาง 12 ชั่วโมง เรียกว่าเป็นช่วงเข้มที่ทุกคนที่มีรายชื่อเคร่งคัดกันมาก บางคนถึงกับแยกตัวไปอยู่โรงแรมลำพัง จนถึงวันเดินทาง
แต่สุดท้ายก็มีหลายคนโชคร้ายที่ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวบินเดียวกัน เพราะมาติดโควิด-19 ในช่วงการตรวจครั้งสุดท้าย 12 ชั่วโมงก่อนบิน ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่งนัก
เครื่องบินเที่ยวนี้ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิมุ่งสู่เมืองกว่างโจว ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกระจายต่อไปยังเมืองต่าง ๆ อีกที
แต่ก็ต้องผ่านด่านมาตรการเข้มด้วยการกักตัวที่กว่างโจวจำนวน 14 วัน และไปกักตัวที่มณฑลของตัวเองเพิ่มอีก 7 วันเป็นอย่างน้อย สำหรับผมต้องไปกักตัวที่เซี่ยงไฮ้เพิ่มอีก 7 วันก่อนจึงจะก้าวเท้าเข้าไปในมหาวิทยาลัยได้
ช่วงที่กักตัวอยู่กว่างโจว อยู่ ๆ ก็มีข่าวดีมาว่าทางการจีนให้เรากักตัวที่กว่างโจวเหลือแค่ 10 วันพอ แล้วค่อยไปกักตัวต่อที่เมืองจุดหมายปลายทาง
บางเมืองก็ให้เข้ามหาวิทยาลัยได้เลย
แต่ในส่วนมหาวิทยาลัยของผม ต้องกักตัวเพิ่มอีกทั้งหมด 7 วัน รวมเป็นทั้งหมด 17 วันถ้วน
ลดลงมาจากเดิม 5 วัน
ก็ถือว่าเป็นข่าวดีแหล่ะมั้ง ฮ่า ๆ
ตอนที่เดินทางไปถึงสนามบินกว่างโจวเงียบมาก สนามบินร้าง เพราะไม่ได้ถูกใช้งานนาน บรรยากาศวังเวงเหมือนฉากในหนังประเภทซอมบี้อย่างไรอย่างนั้น และขั้นตอนการตรวจต่าง ๆ ก็เข้มข้นมาก ใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว พวกเราเดินทางไปถึงราว ๆ 14.45 น. กว่าจะเสร็จทุกขั้นตอนเห็นแสงแรกที่กว่างโจว ก็เกือบสองทุ่มแล้ว
ช่วงชีวิตตอนกักตัวก็วนลูปมาก ๆ มีการตรวจโควิด-19 อยู่เกือบทุกวัน อาหารแม้จะมาตรงเวลาแทบทุกวัน แต่หน้าตาอาหารก็ค่อนข้างจะคล้าย ๆ เดิมทุกวัน ในเมื่อมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่ได้เกิดมาใช้ชีวิตในห้องสี่เหลี่ยม ต่อให้ห้องจะดีแค่ไหนก็เถอะ แต่คุณภาพชีวิตระหว่างกักตัวก็ไม่สู้ดีนัก
กว่าจะผ่านมาได้จนครบ 17 วัน สำหรับตัวผมแล้ว จัดเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก
จนกระทั่งวันที่ 10 กรกฎาคม 2022 คือวันแรกที่ผมได้มาถึงมหาวิทยาลัย
ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ เลยทีเดียว ที่ได้กลับมายืนอยู่ที่เดิมอีกครั้ง โดยครั้งสุดท้ายที่จากไป ไม่เคยคิดเลยว่ากว่าจะกลับมาได้ มันต้องใช้เวลา และความพยายามมากขนาดนี้
ความรู้สึกที่มาถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ครั้งแรก กับความรู้สึกที่มาถึงในครั้งนี้ ต่างกันมาก
ครั้งแรกผมมาเมื่อปี 2019 ความรู้สึกขณะนั้นคือ ใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด หาเพื่อนเยอะ ๆ ทำกิจกรรมแยะ ๆ ตามประสานักศึกษา Freshy ทั่วไป แต่การกลับมาในครั้งนี้ ชีวิตโดยรวมในมหาวิทยาลัยไม่ค่อยคึกคัก ผู้คนก็น้อยลง อาจเป็นเพราะตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม แต่อีกสิ่งที่ทำให้ผมคึกคักน้อยลงไปมาก ก็คือบทบาทที่กลับมาครั้งนี้ของตัวเอง
ผมกลับมาในนามนักศึกษาที่กำลังจะเรียนจบแล้ว
แน่นอน การใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุดก็ยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ต้องทำ แต่ด้วยเวลาที่เหลือน้อยลง คงไม่มีมากพอให้เอาแต่เที่ยวเล่นมากนัก ต้องพยายามใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่เก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ของนักเรียนต่างแดนกลับไปให้มากที่สุด
ดังนั้น ช่วงเวลาที่ได้กลับมายืนอยู่ที่ประเทศจีนตรงนี้อีกครั้ง ผมตั้งใจจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ให้สมกับช่วงเวลาที่เสียไปกว่า 2 ปีครึ่ง และความลำบากที่กว่าจะพาตัวเองกลับมาตรงจุดนี้ได้
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะขอบคุณไปถึงความร่วมมือของรัฐบาลไทย รัฐบาลจีน สมาคมนักเรียนไทย-จีน และทีมงานทุกท่าน ที่ช่วยกันผลักดันจนเกิดเที่ยวบินที่ 2 ขึ้น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเที่ยวบินถัดไป และนักเรียนไทยที่ศึกษาในจีนทุกคน จะได้กลับมาเรียนตามอย่างที่ทุกคนหวังไว้
รออยู่นะครับ….