xs
xsm
sm
md
lg

ศบค.ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินถึง 30 ก.ย.ไฟเขียวเปลี่ยนวัคซีน “ไฟเซอร์” เป็นสูตรเด็ก 6 เดือน - 5 ปี 3 ล้านโดส

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศบค.ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 2 เดือน ถึง 30 ก.ย. รับฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังได้น้อย เปิด 10 จังหวัดที่ฉีดได้น้อยที่สุด ย้ำเข็ม 4 ป้องกันติดเชื้อและป่วยหนักสูง เห็นชอบเปลี่ยนไฟเซอร์ 3 ล้านโดส เป็นสูตรสำหรับเด็กเล็ก 6 เดือนถึง 5 ปี

เมื่อวันที่ 8 ก.ค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า เรื่องที่ 3 แผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 เดือน ส.ค. ที่ประชุมเสนอข้อมูลว่าผู้สูงอายุฉีดเข็มสามเพียง 47.1% เด็ก 12-17 ปี ก็ฉีดเข็มกระตุ้น 20.5% ข่าวตอนนี้ที่นายกฯ ให้ความสำคัญ คือ การติดเชื้อในโรงเรียน จึงมีการปิดเรียนและสอนออนไลน์ อยากให้ สธ.หรือ กทม.และจังหวัดต่างๆ เข้ามาดูแลใกล้ชิดให้คำแนะนำอย่างถูกต้องจากกรมควบคุมโรคและกรมอนามัย การฉีดวัคซีนสองกลุ่มนี้ต้องเพิ่มขึ้นด้วย

“สาเหตุที่ไม่ฉีดเข็มกระตุ้น มีข้อมูลว่า 34.8% ฉีดพอแล้วไม่อยากฉีดมากกว่านี้ 20.5% บอกว่า รอฉีด 19.2% บอกกลัวอันตราย 16.7% บอกเพิ่งหายจากโควิด 8% อื่นๆ เช่น ตั้งครรภ์ ไม่อยากฉีด ถามว่าจะฉีดไหม บอกจะฉีด 31% หรือ 1 ใน 3 ไม่แน่ใจและไม่อยากฉีดประมาณ 60 กว่า% นายกฯ ก็บอกว่าอยากให้ประชาชนเข้าใจและเปลี่ยนแปลงให้คนมาฉีดมากขึ้น เพื่อรักษาชีวิตประชาชนคนไทยมากที่สุด” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า การจัดสรรวัคซีนนั้น ตอนนี้มี 4 จังหวัดที่ฉีดเข็มกระตุ้นเกิน 60% ตามเป้าหมาย คือ ก่ทม. ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ส่วนอีก 10 จังหวัดที่ฉีดเข็มกระตุ้นน้อยที่สุด คือ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สตูล บึงกาฬ สกลนคร หนองบัวลำภู แม่ฮ่องสอน นครศรีธรรมราช และ พัทลุง เพื่อลดอัตราการสูญเสียให้มากที่สุด ส่วนกลุ่ม 60 ปีฉีดน้อยสุด 10 จังหวัดอยู่ที่ นราธิวาส ปัตตานี บึงกาฬ ยะลา สตูล สกลนคร หนองบัวลำภู แม่อ่องสอน สระแก้ว และ หนองคาย

เราจัดหาวัคซีน 169 ล้านโดส ได้รับมอบแล้ว และจะมีการให้กระจายทุกพื้นที่ในไทย ตอนนี้มีความเพียงพอ มีการวิเคราะห์สถานการณ์ 4 เข็ม ป้องกันติดเชื้อ 76% ป้องกันป่วยหนักใส่ท่อ 96% ใครมีพ่อแม่สูงอายุไม่อยากให้ป่วยหนัก ใส่ท่อช่วยหายใจเสียชีวิต ไปรับเข็มที่ 4 ให้ได้ หลังฉีดเข็ม 3 แล้ว 4 เดือน ที่ประชุมรับทราบการเปลี่ยนวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า มาเป็นแอนติบอดี LAAB 2.5 แสนโดส ผ่านที่ประชุม ครม.มาแล้ว ใช้ในภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีประโยชน์ในโรคไตระยะสุดท้าย เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ และรับยากดภูมิคุ้มกันต่างๆ และยังเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยน "ไฟเซอร์" อีก 3.6 ล้านโดส ที่รับมอบไปแล้ว 26.4 ล้านโดส มาเป็นวัคซีนเฉพาะของเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี จำนวน 3 ล้านโดสแทนก็เป็นข่าวดี

เรื่องที่ 4 การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ขยายอีก 2 เดือนเป็นคราวที่ 19 ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.- 30 ก.ย. 2565 นายกฯ เน้นย้ำว่าการขยายนี้เพื่อการควบคุมป้องกันโรคและรักษาชีวิตประชาชนเรื่องนี้เท่านั้น เรื่องอื่นไม่ได้เป็นวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน เรายืนแนวนี้มาตลอด ไม่มีส่วนที่ต้องการไปจำกัดเสรีภาพแต่อย่างใด

และเรื่องที่ 5 นักท่องเที่ยวต่างชาติวันที่ 6 ก.ค. เข้ามาถึง 30,947 คน มากที่สุด คือ มาเลเซีย 5,315 คน ตามด้วยอินเดีย 3,077 คน สิงคโปร์ 1,814 คน เวียดนาม 1,667 คน และออสเตรเลีย 1,369 คน สะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.- 6 ก.ค. สะสม 2.2 ล้านคน รายได้ขึ้นมา 1.25 แสนล้านบาท อินเดียมามากที่สุดเกือบ 2.5 แสนคน มาเลเซีย 2.2 แสนคน สิงคโปร์ 1.3 แสนคน อังกฤษเกือบ 1.2 แสนคน และสหรัฐอเมริกา 1.1 แสนคน เป็นความมั่นใจของคนเข้ามาเห็นเราสวมเขาก็สวมด้วย เข้ามาแล้วไม่ติดเชื้อ สุขภาพดีกลับไปหลังเที่ยว จังหวัดที่มาเที่ยวมากสุด คือ กทม. ชลบุรี กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และ เพชรบุรี โดยรายได้จากการที่ไทยเที่ยวไทย คือ 3.05 แสนล้านบาท จากต่างชาติได้ส่วนหนึ่ง รวมกันแล้วรายได้ท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ 4.3 แสนล้านบาท ยืนยันว่า พวกเราช่วยกันได้ โครงการต่างๆ ที่ออกมาขอบคุณประชาชนที่ช่วยกัน ส่วนด่านต่างๆ มีการเปิดขึ้นมา 39 จุดผ่านแดน มีคนเข้าออกแล้ว 9.7 แสนราย ทำให้เกิดการใช้จ่าย ขอให้ช่วยกันทำให้เกิดบรรยากาศที่ดี

“นายกฯ ย้ำและขอบคุณที่ยังสวมหน้ากาก แม้ กสทช.บอกว่า มายืนแถลงยังถอดหน้ากากได้ แต่ก้ยังอยากใส่อยู่ เพราะเป้นความคุ้นเคยในการรักษาปกป้องตัวเองและปกป้องสังคมอยากให้เป็นสัญลักษณ์ต่อเนื่องกันไป และฉีดวัคซีน เรื่องคลัสเตอร์ต่างๆ ขอให้ลงไปดูอย่างรวดเร็ว ฝ่ายปกครองของพื้นที่ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การเดินทางเข้าประเทศขอให้ตรวจสอบมีผู้ติดเชื้อจากการเดินทางกลับจากต่างประเทศหรือเข้ามาในไทยอยู่เท่าไร จะเห็นความรุนแรงและติดตามกัน ซึ่งตัวเลขไม่มาก เป็นหลักหน่วย ส่วนการเปิดจุดผ่อนปรนตามแนวชายแดน มีจุดเล็กๆ ทั่วไทย ต้องให้คุยในพื้นที่ หามาตรการกับประเทศเพื่อนบ้านร่วมกันรับผิดชอบหากต้องมีการเดินทางระหว่างกัน ต้องช่วยกันมีมาตรการที่เข้มงวดในการดูแล และหากมีคนป่วยให้บริการดูแลอย่างดี” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น