ช็อค ! ข่าวเด็กชายชั้นประถม 6 ข่มขืนเด็กหญิงชั้นประถม 5 ที่โรงเรียน
ช็อคซ้ำสอง ! เมื่อเนื้อข่าวบอกว่าผู้อำนวยการโรงเรียนรู้เรื่องและบอกเด็กหญิงว่าอย่าไปบอกผู้ปกครอง เพราะจะทำให้ผู้อำนวยการโรงเรียนเดือดร้อน
คิดได้อย่างไร?
ยามที่เด็กเกิดปัญหาแล้วต้องการให้ผู้ใหญ่ช่วย แต่ผู้ใหญ่กลับบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่ท้องหรอก ไม่ต้องบอกผู้ปกครอง
อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเกิดกับลูกหลานของตัวเองจะพูดอย่างนี้หรือ !
แต่ท้ายที่สุดผู้ปกครองก็รู้อยู่ดี และผู้อำนวยการโรงเรียนเองก็คงอยู่ยาก
เราต้องยอมรับว่ากรณีที่เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศในบ้านเรามีบ่อยครั้ง จากผู้ใหญ่ จากคนใกล้ชิด หรือจากคนวัยเดียวกัน ซึ่งมีข้อสังเกตว่าเด็กที่ถูกกระทำและผู้กระทำจะอายุน้อยลงเรื่อย ๆ
เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเพราะสื่อรอบตัวที่เด็กสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ ที่มีภาพลามก โป๊เปลือย หรือภาพที่ไม่เหมาะสมเกลื่อนเมือง และเมื่อเด็กเสพสิ่งเหล่านี้บ่อย ๆ ก็เกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กก็ส่งผลเช่นกัน
กรณีที่เกิดขึ้น ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้นกับเด็กชายผู้ก่อเหตุ ในขณะที่เด็กหญิงที่ถูกกระทำในวันนั้นต้องการความช่วยเหลือ แต่ผู้ใหญ่กลับละเลย หนำซ้ำยังให้ปกปิด ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่มาก นั่นเท่ากับว่าผู้อำนวยการโรงเรียนกำลังทำให้เด็กหญิงคนนั้นเรียนรู้ว่า การที่เธอถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความผิด ขณะที่เด็กชายซึ่งเป็นผู้กระทำ เขาก็เรียนรู้ว่าการกระทำของเขาไม่ได้ผิดอะไร ไม่เห็นมีใครว่าอะไร นั่นหมายความว่าเขาสามารถทำพฤติกรรมแบบนี้ซ้ำ ๆ กับคนอื่นได้กระนั้นหรือ
ยังนับว่าโชคดีที่ผู้ปกครองของเด็กหญิงได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูดกับลูกพี่ลูกน้อง แล้วไม่ปล่อยผ่าน แต่พยายามสอบถามเพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกลายเป็นที่มาของบรรดาชาวบ้านในชุมชนรวมตัวกันเสนอให้ขับไล่ผอ.โรงเรียน
จริงอยู่เรื่องเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย แต่สิ่งสำคัญก็คือเมื่อเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้ว ผู้ใหญ่รอบตัวและคนที่เกี่ยวข้องต่างหากที่จัดการปัญหานั้นอย่างไร ปกปิด อยู่เฉย ๆ ปล่อยผ่าน ให้ความช่วยเหลือ แจ้งความ ฯลฯ เพราะทุกการตัดสินใจเลือกหนทางใด ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อเด็กทั้งนั้น อยู่ที่ว่ามากหรือน้อย และจะกลายเป็นปัญหาทางด้านสุขภาพจิตระยะยาวหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ก็จำเป็นที่จะต้องหมั่นสังเกตลูกหลานของตัวเองด้วย เพราะการส่งลูกไปโรงเรียน ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับลูกเสมอไป ดั่งเช่นกรณีนี้ก็เกิดในโรงเรียน
สัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองจำเป็นต้องสังเกตเมื่อลูกไปโรงเรียนแล้วกลับมาบ้าน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือเปล่า
กรณีเป็นเด็กเล็ก
เด็กเล็กอาจไม่สามารถเล่าเรื่องได้ทั้งหมด ผู้ใหญ่จำเป็นต้องดูบาดแผลตามร่างกายประกอบด้วย ว่ามีบาดแผลฟกช้ำทางร่างกายหรืออวัยวะเพศหรือไม่ หรือมีอาการฝันร้าย หวาดกลัว กลัวคน ฯลฯ
กรณีเด็กโต
ต้องสังเกตพฤติกรรมร่วมด้วย เช่น เคยเป็นเด็กร่าเริง จู่ ๆ กลัวการอยู่คนเดียว มีอาการวิตกกังวล ไม่สุงสิงกับใคร เก็บตัว หรือมีอาการซึมเศร้า ไม่อยากไปโรงเรียน ฯลฯ
ประมาณว่าหากมีอาการแปลกไป พ่อแม่หรือคนใกล้ชิดควรหาทางพูดคุย ค่อยๆ สอบถามว่าเด็กไม่สบายใจเรื่องใด มีปัญหาอะไรหรือไม่ แล้วต้องเป็นการสอบถามแบบไม่คาดคั้นหรือกดดันใดๆ เพื่อให้เด็กได้ระบายความรู้สึกในใจ และเล่าปัญหาให้ผู้ใกล้ชิดที่เด็กไว้วางใจฟัง
การถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรเพิกเฉยไม่ว่าจะกับเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่เพราะเด็กนั้นยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศมักไม่กล้าบอก ซึ่งอาจกลัวจนไม่กล้าที่จะบอกใคร จึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดที่ต้องสังเกต มีวิธีการจัดการและหาทางช่วยเหลืออย่างเหมาะสม เพราะนั่นหมายถึงอนาคตของเด็กต่อไปด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กหญิงวัยประถม 5 ที่ถูกข่มขืนจากเด็กชายวัยประถม 6 ย่อมก่อให้เกิดบาดแผลทางกายและใจอีกยาวนาน ส่วนเด็กสองคนนี้จะเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่อย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการจัดการปัญหาของผู้ใหญ่รอบตัวและผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต่อกรณีด้งกล่าว ที่จะบ่งบอกด้วยว่า เราเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ปกป้องและช่วยเหลือเด็ก หรือกำลังทำร้ายและข่มขืนใจเด็กซ้ำสองหรือไม่ !