ปลัด สธ.เผย ผู้ติดเชื้อโควิดส่วนใหญ่อยู่ใน กทม. ปริมณฑล จังหวัดใหญ่ ห่วงคนมาฉีดวัคซีนน้อยลงเฉลี่ยหลักหมื่นต่อวัน เหตุยังกลัว คิดว่าติดเชื้อลดลง อาการไม่รุนแรง ทำยอดเข็มกระตุ้น 42% ยังห่างจากเป้าหมาย 60% เข้าสู่โรคประจำถิ่น พบเขตสุขภาพที่ 12 เข็มกระตุ้นน้อยสุด 32% ชี้ สูงอายุ มีโรค ไม่รับวัคซีนยังเป็นกลุ่มดับ
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า หลังมีการผ่อนคลายให้เปิดสถานบันเทิงและลดระดับการแจ้งเตือนภัยเป็นระดับ 2 ทั่วประเทศ สถานการณ์โควิด-19 ไม่ได้รุนแรงมากขึ้น แนวโน้มผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยอาการหนักลดลงและเริ่มทรงตัว ขณะนี้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะอำเภอเมือง สาเหตุจากการสัมผัสใกล้ชิด ส่วนใหญ่มีไข้เล็กน้อย ไอ เจ็บคอ คล้ายไข้หวัดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับ 20 รายต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยงคือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ที่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นตามเกณฑ์
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการติดเชื้อและช่วยป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนสะสม 139.3 ล้านโดส ครอบคลุมเข็มแรก 81.8% เข็มสอง 76.2% และเข็มกระตุ้นตั้งแต่เข็ม 3 ขึ้นไป 42.3% เฉพาะกลุ่ม 608 ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นครอบคลุม 54.7% พื้นที่ที่มีความครอบคลุมสูงสุด คือ กทม. 67.5% รองลงมาคือ เขตสุขภาพที่ 4 (64.2%) และเขตสุขภาพที่ 6 (62.1%) ส่วนพื้นที่ที่มีความครอบคลุมน้อย คือ เขตสุขภาพที่ 12 (32.5%) เขตสุขภาพที่ 11 (40.2%) และเขตสุขภาพที่ 8 (41.93%) ซึ่งภาพรวมถือว่ายังห่างจากเป้าหมายที่กำหนดให้มีความครอบคลุมของเข็มกระตุ้นมากกว่า 60% เพื่อให้เปิดประเทศอย่างปลอดภัย สอดรับกับการเดินหน้าสู่โรคประจำถิ่น
“ขณะนี้ประชาชนมารับวัคซีนโควิด-19 น้อยลง เฉลี่ยประมาณหลักหมื่นรายต่อวัน เนื่องจากส่วนหนึ่งยังมีความกลัววัคซีน อีกส่วนเห็นว่าผู้ติดเชื้อลดลงและอาการไม่รุนแรง จึงคิดว่าได้วัคซีน 2 เข็มก็เพียงพอแล้ว ซึ่งที่น่าห่วงคือผู้เสียชีวิตจากโควิดขณะนี้ยังเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น จึงต้องรณรงค์ให้มารับวัคซีนเข็มกระตุ้นมากขึ้น โดยขอความร่วมมือทุกภาคส่วนให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่กลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ให้ตระหนักถึงความจำเป็นของการรับเข็มกระตุ้น และเร่งนำวัคซีนไปหาประชาชน โดยความร่วมมือของผู้ว่าราชการจังหวัด ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และสาธารณสุข เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดการเสียชีวิต” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว